วันจันทร์, 29 เมษายน 2567

หลวงพ่อสาลี ขันติพโล วัดป่าทุ่งศรีอุดม อ.ทุ่งศรีอุดม จ.อุบลราชธานี

ประวัติและปฏิปทา
หลวงพ่อสาลี ขันติพโล
วัดป่าทุ่งศรีอุดม อ.ทุ่งศรีอุดม จ.อุบลราชธานี

หลวงพ่อสาลี ขันติพโล วัดป่าทุ่งศรีอุดม อ.ทุ่งศรีอุดม จ.อุบลราชธานี
หลวงพ่อสาลี ขันติพโล วัดป่าทุ่งศรีอุดม อ.ทุ่งศรีอุดม จ.อุบลราชธานี

หลวงพ่อสาลี ขันติพโล วัดป่าทุ่งศรีอุดม อ.ทุ่งศรีอุดม จ.อุบลราชธานี ท่านเป็นพระสุปฏิปันโน กิ่งก้านแห่งพระโพธิญาณ ศิษย์หลวงพ่อชา สุภัทโท

๏ ชาติภูมิ
หลวงพ่อสาลี ขันติพโล นามเดิมชื่อ “สาลี ราชปัญญา” เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๐๐ ณ ตำบลหนองอ้ม อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ปีระกา บิดาชื่อ “นายดี ราชปัญญา” และมารดาชื่อ “นางพัน ราชปัญญา” ครอบครัวมีอาชีพทำนา มีพี่น้องร่วมบิดามารดา คือ
๑. หลวงพ่อสาลี ขันติพโล
๒. นายบุญมี ราชปัญญา
๓. นางสาวจอมศรี ราชปัญญา

เมื่อบิดาเสียชีวิต มารดาได้สมรสใหม่กับ นายไหล สมจิตร์ และมีบุตรธิดาด้วยกันอีก ๖ คน
๑. นางทองใบ แก้วคำสอน
๒. นายทองใส สมจิตร์
๓. นางสาวสมัย สมจิตร์
๔. นายวิชัย สมจิตร์ (เสียชีวิตแล้ว)
๕. นายอุทัย สมจิตร์
๖. นางสมพร แก้วพาปราบ

โดยอุปนิสัย หลวงพ่อสาลี ขันติพโล มีนิสัยน้อมมาทางบวชตั้งแต่ยังเยาว์ เป็นคนไม่ชอบทานเนื้อดิบ ไม่ชอบเที่ยวเตร็ดเตร่เฮฮา ไม่ชอบดื่มเหล้า จนญาติพี่น้องพูดกระเซ้าเหย้าแหย่ ว่า “บักพระใหญ่เอ๊ย

เพราะเหตุที่เป็นลูกคนหัวปี จึงต้องใส่ใจรับผิดชอบการงานช่วยพ่อแม่ อย่างมีจิตสำนึกดี ระยะนั้นได้มีครูบาอาจารย์แวะเวียนมาอยู่ปฏิบัติภาวนาที่สำนักปฏิบัติธรรมที่อยู่ใกล้บ้าน มีพระอาจารย์คำผอง ฐิตปุญฺโญ(พระครูสุธรรมประโชติ) เป็นต้น

ได้กราบเรียนถามท่านว่า ตั้งแต่จำความได้ ได้พบได้เห็นได้สัมผัสกับสิ่งลึกลับบ้างไหม ท่านเล่าให้ฟังว่า บางคราวไปเลี้ยงควายตามทุ่งนา ก็จะแว่วได้ยินเสียงพูดคุย อยู่ตามโพน (เนินดิน) เป็นเสียงเหมือนพูดคุยซุบซิบมีเสียงเด็กด้วย พอเดินเวียนไปดูก็ไม่เห็นอะไร ทั้งที่เป็นกลางวัน แต่ก็ไม่กลัว ส่วนตาของท่านก็เคยพูดว่า นาเรานี่มันมีอะไรแปลกๆ นะ

มีครั้งหนึ่งกลับจากทุ่งนาตอนหัวค่ำ เดินทางมากับญาติเป็นรุ่นพี่ วันนั้นเอาควายไว้ที่นา แล้วจะกลับมานอนบ้าน หนทางสมัยนั้น ยังเต็มไปด้วยป่าดงอยู่ บางแห่งก็มีพุ่มหนาม พากันเดินกลับ เป็นช่วงมืดแล้ว พี่ชายนั้นเดินออกนำหน้า ท่านเดินตามหลัง ท่านเป็นผู้ถือไฟฉาย ทางก็แคบๆ เดินมาๆ ใกล้จะเข้าหมู่บ้าน ได้มองเห็นผู้ชายเดินออกหน้า ห่างกันประมาณสามเมตร เดินไป ท่านก็ฉายไฟฉายสาดใส่เขา พี่ชายก็เลยเตือนว่า อย่าฉายไฟใส่เขา ให้ฉายต่ำๆ ลดไฟลง ท่านก็ดับไฟระยะหนึ่ง แล้วฉายไปใหม่เพื่อจะได้เห็นทางเดิน

คราวนี้พอฉายไฟไปข้างหน้า คนที่เดินอยู่ข้างหน้า ไม่รู้หายไปไหน ถ้าว่าเดินหลบออกนอกทางก็ไม่ได้ยินเสียง จะว่าเดินออกหน้าไปไกลก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเพิ่งดับไฟฉายแป๊บเดียว เอาล่ะสิทีนี้ ขนหัวลุกแล้วเชียว คนที่ใส่เกียร์หมาก่อนคือพี่ชายคนนั้น พร้อมกับร้องเสียงหลง ผีหลอกๆ เมื่อพี่ชายออกวิ่ง ท่านก็ออกสตาร์ทบ้าง เลยได้วิ่งสู้ฟัด พร้อมกับร้องเสียงหลงเช่นกัน ผีหลอกๆ เข้าหมู่บ้านไปเลย ส่วนตาของท่านนั้น จะไปทุ่งไปท่าก็จะมีมีดแหลมลับอย่างดีติดตัวไปด้วย บางครั้งไล่ต้อนควายไปถึงที่บางแห่ง ควายก็หยุดนิ่งเอาเสียเฉยๆ พ่อใหญ่แกก็จะพูดเสียงดัง บอกกล่าวเจ้าที่เขา แล้วควายก็หายตื่น แล้วจึงเดินต่อไป

ท่านบอกว่า ตอนเป็นวัยรุ่นไม่ชอบไปวัด แม้มารดาจะบอกให้ไปใส่บาตรที่วัดกับเขาก็ปฏิเสธ พอครบเกณฑ์ทหาร ผ่านการเกณฑ์แล้ว ไม่ติดทหาร แม่ก็บอกว่า ยังไงๆ ก็ให้บวชก่อน บางคราวก็มีผู้มาทาบทามให้ไปบวช แต่ท่านก็ไม่รับปาก

จวบจนใกล้เข้าพรรษาจึงไปขอบวชเป็นตาปะขาวเพราะมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันบวชด้วย เมื่ออายุครบบวชท่านก็ได้บวชเป็นตาปะขาวที่สำนักนั้น แล้วมาพักภาวนาที่วัดป่าไทรงามและบวชเป็นสามเณรกับพระครูวิบูลธรรมธาดา เจ้าคณะอำเภอเดชอุดม
จากนั้นเมื่อ หลวงพ่อเอนก ยสทินโน เห็นศรัทธาความตั้งใจแน่วแน่ จึงนำท่านไปบวชที่วัดหนองป่าพง

หลวงพ่อสาลี ขันติพโล วัดป่าทุ่งศรีอุดม อ.ทุ่งศรีอุดม จ.อุบลราชธานี
หลวงพ่อสาลี ขันติพโล วัดป่าทุ่งศรีอุดม อ.ทุ่งศรีอุดม จ.อุบลราชธานี

๏ อุปสมบท
เมื่ออายุได้ ๒๑ ปี ในวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๑ เวลา ๒๒.๐๕ น. ได้อุปสมบท ณ วัดหนองป่าพง ตำบลโนนโหนน อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี พระโพธิญาณเถร (พระอาจารย์ชา สุภทฺโท) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระบุญชู จิตคุโณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระเอนก ยสทินฺโน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ขนฺติพโล

๏ ประวัติการจำพรรษา

พรรษาที่ ๑ – ๕ (ปี พ.ศ.๒๕๒๑ – ปี พ.ศ.๒๕๒๕) จำพรรษา ณ วัดป่าไทรงาม (สาขาวัดหนองป่าพงที่ ๑๐) มีพระครูนิโครธธรรมาภรณ์ เป็นเจ้าอาวาส

หลวงพ่อสาลี ขันติพโล ได้ช่วย หลวงพ่อเอนก ยสทินโท (ราชทินนามในปัจจุบัน คือ พระราชภาวนาวัชรมุนี) บุกเบิกวัดไทรงาม สาขาวัดหนองป่าพงที่ ๑๐ โดยอาศัยเวลากลางวันในการปรับแต่งสถานที่

พรรษาที่ ๖ (พ.ศ.๒๕๒๖) ท่านไปจำพรรษาที่วัดถ้ำผาทอง (ถ้ำพระพุทธไสยาสถ์) อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร
กับ พระอาจารย์ทองจันทร์ พุทฺธญาโณ

เมื่อออกพรรษาแล้วจึงเข้ากราบเรียนขออนุญาต ครูบาอาจารย์ออกเที่ยววิเวก เพื่อฝึกหัดปฏิบัติตน ทดสอบกำลังใจตัวเองดู

หลวงพ่อสาลี ขันติพโล วัดป่าทุ่งศรีอุดม อ.ทุ่งศรีอุดม จ.อุบลราชธานี
หลวงพ่อสาลี ขันติพโล วัดป่าทุ่งศรีอุดม อ.ทุ่งศรีอุดม จ.อุบลราชธานี

เบื้องต้นชักชวนเพื่อนร่วมสำนักไปด้วยกัน แต่ไม่มีใครพร้อมเพราะติดขัดเรื่องสุขภาพ เป็นต้น เมื่อตั้งใจเด็ดเดี่ยวแล้ว เป็นไงก็เป็นกัน ท่านจึงตัดสินใจ ธุดงค์เดี่ยวอย่างอาจหาญ สิ่งหนึ่งที่ฝังใจ และคอยกระตุ้นเตือนให้อยากรู้อยากเห็น อยากทดสอบทดลองคือคำสอน คำเทศน์ที่หลวงปู่ชา เทศน์สอนลูกศิษย์ว่า..

“..ถ้าอยากรู้อยากเห็นต้องไปทดสอบทดลองเบิ่งเด๊ อย่าไปหลายองค์ อย่างหลายกะสององค์ บ่มีหมู่อีหลีกะไปผู้เดียว..”

เดินลงจากถ้ำพระ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร ก็พักตามป่าช้า ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ จวบจนมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งเดินทางทั้งวัน มาถึงตอนเย็นตะวันจะลับฟ้าแล้ว เข้าไปใกล้หมู่บ้าน เห็นชาวบ้านญาติโยม ก็เลยถามเขาว่า “โยม พอมีที่พัก ที่เป็นป่าช้าบ้างไหม?”

ชาวบ้านตอบว่า “ก็มีอยู่ครับห่างหมู่บ้านราว ๒ กิโลเมตร”

เลยวานเขาว่า พอไปส่งอาตมาได้ไหม เขาก็แสดงอาการหวาดกลัว แต่ก็มีน้ำใจ บอกว่าให้ผมไปชวนเพื่อนก่อน เขาก็ไปชวนเพื่อนได้ สี่คน รวมเป็นห้า กับเขา ก็เลยพาเราไปส่งที่ป่าช้า

สังเกตดูเขามีอาการหวาดกลัว พอไปถึงป่าช้า ไปถึงจุดหนึ่ง สังเกตเห็นมีต้นไม้ใหญ่ และมีทางเดินเข้าไป เราก็เลยนึกอยากไปจุดนั้น ชาวบ้านเขาก็ว่า อาจารย์อย่าไปตรงนั้น แต่เราก็เลือกที่จะเข้าไปตรงนั้น ชาวบ้านก็เลยต้องอนุโลมตาม ทั้งๆที่มีอาการหวาดกลัวและหวั่นใจ มีบางคนพูดว่าอาจารย์สิอยู่ได้บ๊อ! เราก็ไม่ว่ากะไร เมื่อเขาส่งถึงที่เขาก็ขอลากลับ รีบพากันออกจากป่าช้า แต่ก็คงอดห่วงพระไม่ได้ เราก็จัดแจงที่พัก บริเวณนั้นเป็นต้นตะบกใหญ่ มีใบครื้มหนาแผ่กิ่งก้านปกคลุมบริเวณกว้าง มีกิ่งหนึ่งที่อยู่ต่ำ พอที่จะแขวนกลดได้ เลยผูกกลดกับกิ่งนั้น น้ำท่าไม่ต้องพูดถึง ใช้ผ้าเช็ดเอา จัดแจงวางบริขาร เข้ากลด สวดมนต์ ทำวัตรเย็น

เวลาผ่านไปประมาณ ๓ ทุ่ม ก็ได้ยินเสียงเหมือนเสียงหายใจของหมูของสุนัขยังงั้นแหละ ในความรู้สึกเหมือนเป็นเงา ตัวใหญ่ ดำ วนเวียนอยู่รอบกลด ไม่ไปไหน ไอ้เราก็คิดว่าเป็นสัตว์ ในใจไม่ได้คิดหลอกตัวเองว่าเป็นภูตผีปีศาจ วนเวียนอยู่อย่างนั้นจนตีสาม ก็เลยพูดไปว่า ทำไมไม่ไปหาอยู่หากิน ไม่หิวหรือ มาเฝ้าเฮาทำไม ประมาณตีสามครึ่ง เขาจึงอู๊ดอี๊ดๆ ไปด้านหลัง จากนั้นก็เลยทำวัตรเช้า ประมาณตีสี่ ก็พอดีได้ยินเสียงชาวบ้าน เรียกหา เขาคงเป็นห่วง กลัวเราเป็นอะไร หรือถ้าตายก็กลัวจะมีความผิดที่นำพระมา เขามาดูเห็นเรายังอยู่ก็พากันกลับ เช้าวันนั้นก็ไปบิณฑบาตมาฉันเป็นปกติ แต่ไม่ได้พูดคุยกับญาติโยมอะไรมากมาย เขามาจังหันถวายบิณฑบาตแล้วก็กลับ ได้บอกเขาว่าจะพักอยู่สักสามคืน

ถามท่านว่ากลางวันได้พักบ้างไหม ท่านว่า ก็ไม่ได้พักนอนอะไร นั่งสักระยะก็เหมือนได้นอนแล้วก็มีเดินบ้างแถวนั้นแต่สถานที่ไม่สะดวก ก็เลย นั่งพักเอาเป็นส่วนมาก

ตกเย็นมา คืนที่สอง หัวค่ำก็ทำวัตรสวดมนต์เช่นเคย คืนนี้ มาแปลกได้ยินเหมือนเสียงคนเดินไม่ใส่รองเท้า ตรงมาที่กลด และเดินเวียน ปรากฏว่ามองเห็นทั้งที่ตายังหลับอยู่ เป็นผู้ชายแต่ไม่มีหัว ก็แต่งตัวเหมือนชาวบ้านทั่วไป ตัวเขาเองก็เหมือนมองมาทางเรา ในใจไม่นึกว่าเป็นผี จึงกำหนดจิตนั่งสมาธิทำใจให้สงบระดับหนึ่ง อยากถามอยากรู้ จึงสื่อส่งภาษาจิตไป ว่าเป็นใคร

เขาก็ตอบมาทั้งที่ไม่มีหัวนั้นแหละ ก็เหมือนพูดคุยธรรมดา เขาบอกว่า ผมก็อยู่ใกล้ๆ อาจารย์นั่นแหละ อยู่ข้างหลังนั่น ถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เขาตอบว่า ผมขัดใจกับพี่ชายเรื่องมรดก พี่ชายกลัวผมจะแย่งมรดก กลัวผมทำร้าย เลยมาทำร้ายผมก่อน ด้วยการตัดหัว ผมเลยไปไหนไม่ได หัวก็ยังไม่ต่อกัน เราจึงว่าไปไหนไม่ได้ก็อยู่นี่ก่อนก็แล้วกัน ปรากฏการณ์นั้นก็เงียบไป

ประมาณเที่ยงคืน เริ่มได้กลิ่นแป้งโชยมา หอมตลบอบอวล ปรากฏเป็นร่างขึ้นมา เป็นผู้หญิงรูปร่างลักษณะก็ดี ผมยาว แต่ว่าลิ้นยาว ยาวออกมาเป็นศอกเลย ก็เลยถามเขาว่า เป็นผู้หญิงทำไมมาอยู่อย่างนี้ กลางค่ำกลางคืน เขาก็บอกว่าหนูก็มาอยู่ที่นี่แหละ มาอยู่อย่างไรหละ ก็บอกว่าหนูมาผูกคอตาย เพราะน้อยใจที่แม่ขัดขวางความรัก ตรงกิ่งไม้ที่ท่านอาจารย์แขวนกลดนั่นแหละ ถามท่านว่าไม่สะดุ้งหรือ ท่านบอกว่า ก็ธรรมดา

ท่านถามหญิงนั้นว่าทำไมจึงมาผูกคอตาย หญิงนั้นตอบว่า หนูรักผู้ชาย แต่แม่ขัดขวางไม่ให้แต่งงานกันน้อยใจจึงเข้ามาผูกคอตายที่นี่ ก่อนที่ท่านอาจารย์จะเข้ามาอยู่เพียงสามวันเอง

ในปรากฏการณ์นั้น เหมือนมีผู้คนมานั่งอยู่ในที่ทั่วไปแต่อยู่ห่างๆ จะมีก็ผู้ที่หัวขาดกับหญิงสาวผู้นี้เท่านั้นที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เขาบอกว่ายังไปไหนไม่ได้

เราก็บอกว่าไปไหนไม่ได้ก็อยู่ที่นี่ไปก่อน อาจารย์ก็ไม่มีปัญญารู้จะช่วยยังไง ก็แค่มาพักภาวนาที่นี่เท่านั้น รู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็รุ่งสาง

ชาวบ้านก็มาแต่เช้าอีกแหละ เพราะเป็นห่วงกลัวมีอันตรายกับเรา หรืออาจจะหนีไปแล้ว เช้าวันนี้ก็เลยได้พูดคุย ถามไถ่กับชาวบ้าน ว่ามีคนตายเพราะถูกตัดคอไหม เขาก็บอกว่ามี ถามว่ามีผู้หญิงมาผูกคอตายไหม เขาก็บอกว่ามี

ถามเขาว่า ญาติของผู้ตายยังอยู่ไหม เขาก็ตอบว่ายังอยู่เลยบอกเขาไปว่า อาตมาจะอยู่ที่นี่อีกหนึ่งคืน เอาเป็นว่า พรุ่งนี้ ให้พากันมาทำบุญ อุทิศให้เปตญาติเหล่านี้ ก็จะดีไม่น้อย เขาก็พากันรับปาก แล้วก็ลากลับไป

คืนที่สาม ก็ทำกิจวัตรเบื้องต้นทำวัตรสวดมนต์เย็น เป็นปกติ คืนนี้ปรากฏ เห็นชายหัวขาดนั้นมาหาแต่มีหัวต่อร่างแล้วและหญิงสาวนั้นก็ลิ้นกลับหดเข้าเป็นปกติแล้ว เขามากล่าวขอบคุณ และแสดงอาการดีใจมาก ที่จะได้ส่วนบุญ และที่ท่านอาจารย์มาโปรด บอกว่าพวกผมจะไปแล้ว หนูจะไปแล้ว ถามว่าจะไปไหน เขาก็บอกว่ามีทางไปของเขา แต่ดีอย่างที่เขาไม่อาฆาตผู้ที่ฆ่าเขาโดยการตัดคอ

ถามท่านว่า เอ้า เขายังไม่มาทำบุญ เปตญาติได้รับแล้วหรือ ท่านก็บอกว่า ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่ปรากฏ เขาเหมือนได้รับส่วนบุญแล้ว เช้าวันนั้นชาวบ้านก็ตื่นตัว พากันมาทำบุญ ถวายอาหารอย่างมากมาย เราก็ให้พรอนุโมทนาแก่พวกเขา ก่อนเดินทางก็ได้ถามพวกเขาว่า ทำไมพวกโยมจึงพากันกลัวผิดสังเกตนัก เมื่อเข้ามาที่ป่านี้?

“โอ๊ย! บักหัวหัวขาดมันบ่ธรรมดาเด๊!! ไม่ให้กลัวได้ไง ก็มันปรากฏตัวให้เห็น มีชาวบ้านบางคนขับเกวียนผ่านมาทางนี้ในยามมืดค่ำ มาคนเดียว พอผ่านมาถึงบริเวณแถวนี้ วัวเกวียนที่เดินมาดีๆ ก็หยุดชะงักไม่เดินต่อ ตียังไงๆ ก็ไม่เดิน ชาวบ้านเจ้าของเกวียนก็ใจไม่ดี มองหน้ามองหลัง ที่ไหนได้ มองมาด้านหลังเกวียน มีผู้มานั่งอยู่ท้ายเกวียน แต่มองไม่เห็นหัว ตีวัวเกวียนก็ไม่เดิน เอาไงดีหละ เมื่อวัวไม่เดิน เจ้าตัวก็เข้าเกียร์หมา วิ่งโกยอ้าวเข้าหมู่บ้าน ไปหาพรรคพวกชาวบ้านกลับออกมาเอาเกวียน จากนั้นพอค่ำมืดก็ไม่มีใครกล้าเดินทางผ่านมาคนเดียวเลย”

พวกผมดีใจมากที่ท่านอาจารย์ผ่านมาโปรดทางนี้ เราก็บอกว่า คนที่เขาคอขาด ผูกคอตาย เขาได้บุญไปอยู่ในที่สบายแล้ว ขอให้เบาใจ
ชาวบ้านหลายคนเข้ามากราบแทบเท้าด้วยความขอบพระคุณและเคารพยิ่ง เราจึงเดินทางจากไป ทิ้งป่าช้านั้นไว้เบื้องหลัง

ออกจากนั้น ก็วกมาทาง อ.พังโคน อ.คำตากล้า อ.บ้านแพง การเดินทางโดยส่วนมากก็ผ่านทุ่งนาซึ่งมีแต่ตอฟาง ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ หาน้ำก็ยาก
ตกเย็นวันหนึ่ง มาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จึงคิดจะหาที่พัก เห็นมีป่าสภาพดี เลยแวะเข้าไป เป็นป่าช้า มีศาลาบำเพ็ญบุญหลังเล็กๆ มองไปเหมือนจะเป็นวัด แต่ก็ไม่เห็นมีพระ-เณร ถึงมีก็จะไม่ไปรบกวนพระเจ้าถิ่นท่าน เพราะครูบาอาจารย์เตือนไว้ว่า อย่าไปรบกวนใคร ให้พึ่งพาตนเอง คำพูดคำหนึ่งที่ฝังใจมานาน ที่ได้ยินหลวงพ่อพูดว่า

“ไปลองดูถ้าอยากรู้อยากเห็น แต่อย่าไปหลายองค์ อย่างมากอย่าให้เกินสององค์”

จัดแจงจัดที่พักแขวนกลดให้เรียบร้อย โดยจะไม่ให้เป็นภาระหรือรบกวนพระ-เณร เจ้าของถิ่นสังเกตดูในศาลามีอาสนะสงฆ์ ยกระดับขึ้นมาหน่อยหนึ่งเทพื้นด้วยคอนกรีต
ก็มิได้ติดใจอะไร จัดที่พักเสร็จก็ทำวัตรสวดมนต์ ดั่งเคยปฏิบัติมา พอทำวัตรเสร็จจะนั่งภาวนาต่อ บรรยากาศก็รู้สึกว่าสงัดดี แต่พอจะนั่งภาวนาเงียบๆ กลับมีเสียงดังขึ้น บริเวณภายในอาสนะสงฆ์ดัง ตึงตังๆ แรงขึ้นเรื่อยๆ จนผิดสังเกต ในใจก็คิดว่ามีสัตว์อยู่ในนั้นวิ่งไล่กันหรืออยากออกมา อย่างไรน๊อ ใจก็อยากรู้อยากเห็น เพราะดังไม่หยุดซะที จะนั่งจะนอนเสียงนั้นก็ยังรบกวนอยู่ จะใช้พลังจิตนั่งสมาธิสื่อสารดูก็นั่งไม่ได้เพราะเสียงนั้นดังไม่หยุด

จึงตัดสินใจลุกขึ้นไปดู ฉายไฟสำรวจ ในที่นั้นก็เห็นมี มีฝาปิดเป็นแผ่นปูน จึงหาวิธีค่อยๆ งัดออกดู ส่องฉายไฟเข้าไปดู จะฉายไฟมากก็กลัวถ่านหมด จึงจุดเทียนส่องดูก็ไม่เห็นสัตว์ชนิดใด เห็นแต่ขวดกระปุกใส่กระดูกมากมายเรียงรายกันอยู่ ดูจนทั่วก็ไม่เห็นว่ามีตัวสัตว์อะไรอาศัยอยู่ในนั้นจึงปิดไว้ เพื่อจะมานั่งภวนาทำความเพียรต่อ

แต่พอมานั่งลงเพื่อปรารภอารมณ์กรรมฐาน อีกแหละ เสียงดังในที่นั่นก็ดังขึ้นอีก ในจิตก็ให้คิดสงสัย ใจจึงเข้าสู่ความสงบไม่ได้ อีกสักประเดี๋ยวหนึ่งก็ได้ยินเสียงแว่วมาว่า
“จะมาติดอะไรกับเสียงนี่ หนักกว่านี้ก็ยังผ่านมาได้”

เสียงนั้นได้ยินชัดเจน เป็นเสียงของหลวงพ่อชา ซึ่งเป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ ความรู้สึกอบอุ่น กำลังใจ และสติก็หวนกลับมาอยู่กับอารมณ์ปัจจุบันมากขึ้น สิ่งที่เป็นผลพ่วงตามมาก็คือเสียงที่ดังตึงตังๆ นั้นก็หายเป็นปลิดทิ้ง จึงได้โอกาสนั่งสมาธิต่อ จนรุ่งสาง

สว่างมาก็ไปบิณฑบาตเป็นปกติ เอกลาภเช้าวันนั้น ก็คือ ได้ข้าวเหนียวสองปั้นเท่าไข่ไก่ ก็กลับมานั่งฉันอยู่ที่พัก เคี้ยวไปดูจิตดูอารมณ์ไป ถามว่า เหนื่อยไหม น้อยใจ ท้อใจไหม อารมณ์เหล่านี้ไม่มีในจิต หากมีแต่ความเอิบอิ่มเบิกบานในธรรม เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงใจ

พร้อมกับซาบซึ้งในพระคุณพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่คอยปกป้องคุ้มครองลูกศิษย์ลูกหา เมื่อติดขัด หรืออยู่ในภาวะคับขัน กำลังใจในการธุดงค์เดี่ยวหาประสบการณ์ ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากฉันข้าวเปล่าสองก้อนนั้น ก็เก็บบริขารซึ่งมีอยู่น้อยนิด แต่ก่อนไป ความอยากรู้ อยากเห็น อยากพิสูจน์ ก็ยังคงเหลืออยู่ จึงเปิดฝาแผ่นปูนดูอีกครั้งหนึ่ง ก็ไม่เห็นมีอะไร จึงปิดไว้เหมือนเดิม แล้วจึงออกเดินทางต่อไป

หลายวันต่อมา โค้งไปทาง อ.บึงกาฬ เดินเลาะริมโขง หลังจากเดินทางมาทั้งวัน ตกเย็นไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งอยู่ริมโขง เป็นสภาพเหมือนวัดเก่า ไม่มีพระเณรดูแลรักษา จึงตัดสินใจพักค้างแรมที่นั่น ก็ทำกิจวัตรดังเคยทำมา ทำวัตรเสร็จก็นั่งสมาธิ จิตใจรู้สึกสงบ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว มีปรากฏการณ์ เกิดขึ้น ปรากฏว่าเห็นเป็นแม่ชีมาหา บอกว่าพวกแม่อยู่ที่นี่ ไปไหนไม่ได้
พอถามว่ามีความผิดอะไร แม่ชีนั้นก็ตอบว่าบอกไม่ได้ เราก็เลยไม่อยากซักไซ้ให้เสียมารยาท คืนนั้นก็ได้รับทราบถามไถ่เพียงเท่านั้น ดีแต่ไม่ทำกิริยาอาการให้น่ากลัว แต่ดูเหมือนเวลาผ่านไปรวดเร็วมาก ไม่นานก็สว่างเป็นวันใหม่

เช้านั้นไปบิณฑบาต ชาวบ้านก็ไม่ค่อยใส่ใจ เพียงแต่ใส่บาตรให้ แต่ไม่มีใครออกมาถามมาคุยกับพระเลยก็ได้ข้าวเพียงนิดหน่อย ก็กลับมาสู่ที่พัก ฉันเสร็จ ด้วยความสงสัยในสถานที่ จึงเดินสำรวจสถานที่ เห็นมีกุฏิ ศาลา แต่ขาดการดูแลรักษา มีแต่หยากไย่เต็มไปหมด น่าสลดสังเวช วันนั้นเลยตกลงใจพักภาวนาอยู่ที่นั่นอีกคืน

คืนที่สองเข้าที่ภาวนาไปนานพอสมควร ก็ปรากฏเห็นแม่ชีนั้นอีก แต่ดูสภาพน่าอนาถ เพราะชุดขาวนั้นก็ไม่สดใส ผิวพรรณวรรณะก็ดูซีดเซียวเหี่ยวย่น เหมือนคนอดอยากหิวโซ พอสื่อสารถามก็ได้ความเพียงว่าแม่มีความผิดไปไหนไม่ได้

ถามว่าไปไหนไม่ได้ อยู่กินอย่างไร ก็บอกว่า พอมีอยู่มีกินอยู่หรอกแต่อดอดอยากๆ ตามประสา แต่ไปไหนไม่ได้เพราะมีความผิด เลยไม่รู้จะหาทางช่วยอย่างไร และเขาก็ไม่เอ่ยปากขอความช่วยเหลือ แต่จะถามเพื่อหาสาเหตุก็ไม่ยอมบอก จึงไม่รู้และไม่สามารถชวยเหลืออะไรกันได้ สิ่งที่ผิดสังเกตคือ กาลเวลาช่างผ่านรวดเร็วมาก ไม่นานก็สว่างเป็นวันใหม่ หลังเสร็จภัตกิจ แล้วจึงเดินทางต่อไป

เดินทางต่อมาอีกหลายวัน ดูเหมือนจะเป็น อ.ปากคาด ช่วงนั้นปลายเดือนกุมภาแล้ว วันนั้นมีฝนตก ไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งได้ถามชาวบ้านว่ามีป่าพอเป็นที่พักภาวนาไหม โยมก็บอกว่า มี แต่ท่านอาจารย์จะอยู่ได้หรือ บอกเขาว่าต้องลองดูก่อน โยมเห็นความตั้งใจจึงนำไปส่ง สถานที่แห่งนั้นเป็นสภาพโนนบ้านเก่า มีต้นไม้ที่เป็นไม้ยืนต้นที่ปลูกไว้มากมาย เช่น ต้นมะม่วง มะขาม เป็นต้น จึงตัดสินใจพักแขวนกลดที่ต้นมะขาม ที่มีใบดกหนา ฝนก็ตกก่อนหน้าที่เราจะไปถึงด้วย โยมพ่อใหญ่ที่ไปส่งก็ลากลับไป

เราก็ทำกิจวัตรดั่งเคยปฏิบัติมา ทำวัตรเย็นแผ่เมตตาเสร็จ วันนั้นเหนื่อยมากเพราะเดินทางตลอดวัน จิตหนึ่งจึงคิดว่า จะนอนพักเอาแรงซะหน่อย แต่พอเอนตัวลงจะนอน แว่วได้ยินเสียงตักเตือนว่า จะมาภาวนาหรือจะมานอน เป็นเสียงหลวงพ่อชาชัดๆ จึงได้สติเตือนตนรีบนั่งสมาธิต่อ ตกลงเลยไม่ได้นอน

นั่งภาวนาไปสักพัก เอาแล้ว เสียงฟืดฟาดๆ กึกกักๆ อีกหน่อยก็เหมือนเสียงควายชนกัน รู้สึกว่าดังสนั่นป่า จิตก็มิได้นึกกลัวอะไร คงนั่งภาวนาไปเรื่อยๆ สักพักใหญ่ เสียงควายชนกันก็เงียบไป กลายเป็นภาพผู้หญิงหลายรุ่นหลายวัย ต่างไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ ถามว่าเห็นอย่างนั้น ราคะรบกวนหลวงพ่อไหม ท่านบอกว่าไม่ปรากฏ

เลยลื่อสารถามเขาไปว่า พวกท่านเป็นใครจึงมาอยู่ในที่นี่ เขาบอกว่าพวกเขาเป็นเจ้าของที่นี่มานาน ใครเอาเสื้อผ้าให้ก็เอาไม่ได้ ใส่เข้าก็ร้อนรน สาเหตุที่ชาวบ้านต้องย้ายหนีเพราะพวกนี้โกรธ ที่ชาวบ้านมาสร้างบ้านทับที่เขา เขาจึงพากันบอกว่าฆ่า ใครมาสร้างบ้านในที่แถวนั้นเขาก็จะฆ่า เมื่อชาวบ้านตายบ่อยและต่อเนื่อง จึงหวาดกลัวและโยกย้ายหนีปล่อยให้เป็นบ้านร้าง เขาบอกว่าเขาอยากจะทำลายเราเหมือนกัน แต่เข้าใกล้กลดไม่ได้ เห็นมีแต่แสงเลื่อมพรายจึงหวาดกลัว ไม่กล้าเข้าใกล้ ในความรู้สึกเราเหมือนมีอะไรพยายามแทงเข้ามากลดตลอด แต่ก็เข้ามาทำอะไรไม่ได้ อำนาจกลดของเราก็ขลังดีเหมือนกันน่ะ พอใกล้สว่าง บุคคลเหล่านั้น เหมือนกับใส่เสื้อผ้าแต่พอดูเพ่งเข้าไปหน่อยก็ไม่มีเสื้อผ้าใส่

พอใกล้รุ่งสว่างพ่อใหญ่นั้นก็รีบไปหา เพราะเป็นห่วงว่าพระจะเป็นอันตราย ก็เลยได้โอกาสถามแก ว่าทำไมไม่พากันอยู่ที่โนนบ้านนี่ แกก็บอกว่า โนนบ้านนี่มันมีผีเปลือย คอยทำร้ายผู้คน มันไม่กลัวใครนะผีพวกนี้ ถามว่าหน้าตา น่ากลัวไหม ท่านตอบว่า ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร แต่จิตใจดุดันโหดร้ายมาก ดีนะ มันไม่ทำร้ายอาจารย์ พวกนี้มันจะแปลงร่างได้ต่างๆนาๆ เป็นม้าก็ได้ ในช่วงที่เราสัมผัสนั้น เหมือนกับเขาควาย มาสัมผัสกับมุ้งกลด แต่ไม่ยิ่งไปกว่านั้น รู้สึกว่ากาลเวลามันรวดเร็วมาก ก็ได้สัมผัสแค่นั้น เสร็จภัตกิจ แล้วก็ล่ำลาจากที่นั้นไป เพราะจะได้รีบเดินทางไปที่แห่งใหม่ ถ้าจะมาเสียเวลากับสิ่งที่ไม่มีตัวมีตน ก็คงจะไม่เกิดประโยชน์อะไร

อีกวันหลังจากนั้นมาอีกไม่นาน ก็เดินมุ่งหน้าต่อไป ตั้งใจว่าจะเดินริมโขงไปเรื่อยๆ ไปทางหนองคาย แต่ก็วกกลับมาทางอุดร เส้นทางหลักจะลงไปกรุงเทพฯ มาถึงที่แห่งหนึ่งก่อนทางเข้าอำเภอที่ตั้งวัดของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ก็มาเจออีกเหตุการณ์หนึ่ง มาถึงที่นั่นก็มืดค่ำพอดี เลยถามโยมว่าแถวนี่มีดงมีดอนพอพักได้ไหม โยมบอกว่ามีครับ เป็นดอนต้นมะม่วง แกเลยพาไป ฝนก็เพิ่งตกลงมาไม่นาน เปียกหมด ฝนตกใหม่ในป่ามะม่วงมันก็เหม็นอับ เข้าไปที่นั่นรู้สึกเหม็นอับเหม็นสาบสางแปลกๆ อยู่ เราจึงไปแขวนกลดอยู่ใต้ร่มมะม่วงอยู่ต้นหนึ่ง กลิ่นเหม็นอับก็โชยมา

เราก็เข้าไปนั่งในกลดไม่นาน อีกหน่อยได้ยินเสียงเหมือนคนใส่รองเท้าแตะเดินมา เสียงรองเท้าดีดกระทบเท้าดัง แต๊บๆ มา ใกล้เข้ามาๆ อีกหน่อยได้ยินเสียงว่า ใครหนอมาขวางทางที่จะขึ้นบ้าน เราก็คิดในใจ เราขวางที่ไหนเราก็นั่งอยู่ใต้ต้นมะม่วงไม่เห็นจะมีบ้านสักหลัง สักพักเสียงแว่วมาอีก ไม่ขวางยังไงเขาขึ้นบ้านไม่ได้ ให้ขยับออก เราก็เลยคิดในใจว่าก็ไม่รู้ว่าเป็นทางขึ้นบ้านใคร ไม่มีเจตนาจะมากีดขวางทางใครนะ เห็นว่า มันน่าพักก็เลยแขวนกลดตรงนี้
เราก็นั่งภาวนาต่อไป เสียงนั้นก็เงียบไปสักพักหนึ่ง

พอนั่งไปอีกสักประเดี๋ยวหนึ่ง ปรากฏว่ากลดที่แขวนอยู่เชือกหลุดหล่นปุ๊กลงมา จนโดนหัวเรา ในความรู้สึกเหมือนมีคนๆ หนึ่งใช้เท้าถีบกลดเราลงมา ก็เลยต้องลุกมาแขวนกลดใหม่อีกครั้งหนึ่ง สักประเดี๋ยวกลด ก็หลุดลงมาอีก เป็นครั้งที่สาม พอกลดหลุดลงมา ก็ได้ยินเสียง เหมือนสัตว์วิ่งขึ้นไปบนต้นไม้ เสียงกระทบเปลือกไม้ ดังค่ากๆ วิ่งขึ้นไปบนยอดไม้ ทีนี้แหละขนทุกเส้นตั้งใจลุกพร้อมกันเลย เขาก็บอกว่า ก็มาขวางทางกันเช่นนี้มันก็ขึ้นบ้านไม่ได้ ตัวผมมันพอขึ้นได้แต่คนอื่นเขาขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อว่าเป็นบ้านที่พวกผมอยู่ก็ดูสิ ปรากฏว่าที่เรานั่งพิงอยู่นั่นเป็นประตูบ้านเขา บ้านเป็นหลังเลย เขาเลยพูดว่า นี่แหละบ้านผมท่านมานั่งขวางได้ยังไง เราก็เลยบอก ใครจะไปรู้ตอนกางกลดมันเป็นต้นมะม่วง ก็อาศัยอยู่ใต้โคนไม้ มันไม่ใช่บ้านเป็นหลังแบบนี้ เขาก็เลยบอกให้เราขยับสักหน่อยพอไปได้ ให้ท่านรอสักครู่ผมจะขึ้นไปเก็บข้าวของก่อนแล้วจะให้คนพาท่านไปเดินดู เราก็ได้แต่คิดว่าจะไปยังไงไปเดินดูบ้านคน แต่ด้วยความสงสัยอยากรู้อยากเห็นจึงตอบตกลงที่จะไป เขาก็เลยว่าไปได้เดี๋ยวจะพาไป แต่ให้ท่านยืนหลับตารอสักครู่ผมจะไปเปิดประตู เราก็ยังไม่ได้ปริปากพูดสักคำมีแต่คิดเอาเท่านั้น ไม่รู้จิตมันสัมผัสกันได้อย่างไร และเวลาที่นั่งอยู่นั้นก็ได้กลิ่นเหม็นสาปเหม็นกุยเหมือนซากศพยังไงยังงั้นเลย สักพักเขาก็บอกลืมตาได้ถึงแล้ว พอเราลืมตาดูเป็นหมู่บ้านมีผู้คนเยอะแยะ เด็กเล็กเด็กน้อยเต็มไปหมด ผู้ใหญ่เต็มไปหมดล้วนแต่หน้าตาดี แต่งตัวสะอาดสะอ้าน แต่แปลกว่าไม่มีใครพูดกับเราสักคน มองอยู่แต่ไม่พูด บ้านเรือนชุมชนน่าอยู่อาศัย

คนที่พาไปเขาก็แนะนำนั่นนี่บ้างนิดหน่อย เราก็พยายามจำสังเกตุทางเข้าทางไปอยู่กลัวจะหลง หาทางกลับไม่ได้ กาลเวลามันรวดเร็วมาก อีกหน่อยเขาก็บอกว่าจะพากลับ ให้เราหลับตา เราก็ทำตาม บอกว่ามาส่งถึงที่แล้ว พอรู้สึกตัว ลืมตาขึ้น ก็เห็นตัวเองนั่งอยู่ในกลดใต้ต้นมะม่วงเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าเหงื่อมาจากไหนเปียกท่วมไปหมด

เมื่อผ่านเหตุการณ์นี้จึงออกธุดงค์ต่อ ไปทางอำเภอสร้างคอม ไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จึงได้ถามโยมแถวนั้นว่า “พอจะมีป่าช้าให้พระได้ไปปักกลดภาวนาไม๊ ?” เขาก็ชี้ให้ไปพักแถวหนองน้ำห่างจากหมู่บ้านพอสมควร ซึ่งเป็นแหล่งน้ำอนุรักษ์ และไม่มีใครกล้าเข้าไปหาปูหาปลา จะด้วยเหตุอย่างใดก็ไม่ทราบ เมื่อมาถึงก็หาสถานที่ที่เหมาะสม กางกลดจัดที่พักเรียบร้อย ก็ทำความเพียรต่อ โดยการนั่งสมาธิเป็นหลักสลับกับการสวดมนต์แผ่เมตตา จนเวลาล่วงเลยมาดึกพอสมควร ปรากฏว่ามีแสงสีทอง ตัวเหลืองอร่ามเหมือนทองคำอยู่กลางลำน้ำ คล้ายพญานาค ซึ่งจะใช่หรือไม่อันนี้ก็ไม่ทราบได้ เพราะไม่เคยเห็นตัวจริง เคยเห็นแต่แบบปั้นที่ติดตามอุโบสถในวัดทั่วไปเท่านั้น ในตอนนั้นเขาก็แสดงท่าทีไม่พอใจที่มีคนบุกรุกเข้ามา เราก็ได้แต่นั่งหลับตาแผ่เมตตาไปเรื่อยๆ นานพอสมควรเขาก็มุดหายไปในน้ำ เราจึงตั้งใจภาวนาต่อ สักพักมีเสียงแว่วมาข้างๆ หูว่า..

“ที่โผล่ขึ้นมาบ่แม่นสิให้ย่านอิหยังดอก ให้ฮู้จักสื่อๆ เพราะว่าที่หม่องนี้บ่มีไผสิมาทำลาย มาแตะต้องได้ ” (ที่โผล่ให้เห็นไม่ใช่จะทำให้กลัวอะไรหรอก ทำให้รู้จักเฉยๆ เพราะที่แห่งนี้ไม่มีใครจะมาทำลาย มาแตะต้องได้ )

เราก็คิดตอบกลับไปว่า “แค่ผ่านมาพักภาวนาสื่อๆ บ่ได้สิมาเอาอิหยังดอก” (แค่ผ่านมาพักภาวนาเฉยๆ ไม่ได้มีเจตนาจะมาครอบครองสถานที่แห่งนี้หรอก) หลังจากนั้นก็เงียบไป

คืนที่สองก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อยู่พักที่แห่งนี้สองคืน กะว่าจะไปทาง อ.บ้านดุง ไปดูเกาะคำชะโนด แต่ไม่ได้ไป จึงเข้าอุดรมาพักที่ป่าช้าบ้านข้าวสาร แถวๆ เขตอำเภอเมือง ช่วงนั้นฝนเริ่มตกแล้ว เลยตั้งใจจะพักสักช่วง หลังสงกรานต์จึงจะมุ่งเดินทางต่อไปอุบลราชธานี จึงได้หาที่ปักกลดในบริเวณป่าช้า พอตกกลางคืนมา ปรากฏว่าได้กลิ่นหอมแป้งโชยมาก่อน สักพักก็ได้กลิ่นเหม็นสาบเหม็นสางตามมา ได้แต่คิดในใจว่า “มันเหม็นอะไรมาแต่ทางไหนหนอ?” สักพักหนึ่ง จิตมันจะไปสัมผัสกันยังไงก็ไม่ทราบ ก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า “หนูก็อยู่ใกล้ๆ อาจารย์นี่ล่ะ”
พระอาจารย์ “แล้วทำไมมีทั้งกลิ่นหอม ทั้งกลิ่นเหม็นสาบ”
วิญญาณเด็ก “ถ้ากลิ่นหอมก็แสดงว่าไม่ทำอะไร แต่กลิ่นสาบนี่เป็นกลิ่นของคนตายเฉยๆ”
พระอาจารย์ “เจ้าตายมานี่โดนแล้วบ่?” (ตายมานานหรือยัง)
วิญญาณเด็ก “โดนแล้ว จนพ่อแม่ลืมหมดแล้ว”
พระอาจารย์ “แล้วแปลงกายเป็นอีหยังได้แหน่?”
วิญญาณเด็ก “ได้หมดทุกอย่าง”
พระอาจารย์ “แล้วถ้าโยมมาสิมาเจ้าสิเฮ็ดจังได๋”
วิญญาณเด็ก “หนูกะสิเฮ็ดกลิ่นแป้งไปก่อน แล้วก็เอากลิ่นสาบตามไปอีก ปกติตอนเย็น จะมีเถ้าแก่ ส. เจริญชัย มาเล่นด้วย เด็กน้อยคนนี้ มันก็จะเอากลิ่นไปรับ พอเถ้าแก่ได้กลิ่น แกก็ว่า “รู้แล้วล่ะ สิไปหาอาจารย์” แล้วกลิ่นนั้นก็หายไป พอมาถึงก็ไม่มีกลิ่น พอจะกลับ เขาก็ส่งกลิ่นอีก จะเป็นแบบนี้อยู่ตลอดทุกครั้งที่มาหาและกลับ เถ้าแก่คนนี้จนได้คิดว่า พระองค์นี้ไม่ธรรมดา เพราะปกติ แกเป็นคนไม่ชอบพระอยู่แล้ว แกชอบพูดว่าพระ เป็นพวกขี้คร้านไม่ทำงาน พอเวลาเราจะไปบิณฑบาต เขาก็ส่งกลิ่นหอมมาหาเรา เลยได้แต่พูดลอยๆไปว่า “รักษาของเด้อสิไปบิณฑบาตมาสู่กิน” เขาก็คงจะรับทราบของเขาเหมือนกันแหละ เพราะกลับมากลิ่นมันก็ยังหอมอยู่ แต่เวลาจะเกิดเหตุไม่ดี เขาก็จะมาบอกเราก่อน คือเรานั่งสมาธิอยู่อย่างนี้ เขาก็จะมากระซิบที่ข้างหูเรา “เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะมีคนมาหาอยู่นะ เยอะด้วย” เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะมาทำไม เราก็ฟังไว้ ดูไว้ แต่ไม่พูดอะไรว่าจะมีอะไรมาหรือเปล่า พอถึงเวลา ทางผู้ใหญ่บ้านกำนัน ชาวบ้านก็มาจริงๆ เยอะพอสมควร เดินเข้ามาหา มาสอบถาม “เป็นพระที่ไหน มายังไง มาทำไม วัดบ้านก็มีทำไมไม่ไปอยู่ ทำไมมาอยู่ตรงนี้”

เราก็ว่า “มาพักภาวนา อีกสักพักก็จะกลับอุบลแล้ว” แต่ในใจเราก็อยากจะจำพรรษาอยู่ที่นี่ เราว่าที่นี่เหมาะแก่การภาวนา และบอกเขาว่าที่แห่งนี้มีงูใหญ่อยู่อีกด้วย แต่เขาก็ไม่เชื่อ อยู่มาตั้งนานไม่เห็นจะมีอะไร เราก็เลยบอกว่า ถ้าไม่เชื่อก็ลองเข้าไปดูในป่าข้างใน มีงูใหญ่อยู่นั่น ด้วยความอยากรู้ของพวกนั้น ก็รวมตัวกันเดินเข้าไป เมื่อเข้าไปถึง พบเห็นงูจงอางตัวใหญ่ ยกคอสูงท่วมหัว เขาก็พากันทั้งวิ่งทั้งร้องเสียงหลงออกมาเลย เราก็เลยทำท่าพูดว่า “อย่าไปทำอะไรเขานะ ทำให้เขาดูเฉยๆ”

กลับมาเขาเลยขู่ว่า ให้ออกจากที่นี่ ถ้าไม่ออกก็ให้ย้ายไปเข้าวัด ถ้าไม่ไปอาจจะมีอันตรายก็ได้ ไม่รับรองความปลอดภัย อยู่ต่อมาโยมก็เลยทำกระต๊อบให้พักพอได้นั่งสมาธิสวดมนต์ อยู่อีกสักพัก ได้ความคิดใหม่คือต้องอยู่จำพรรษากับเขาสักพรรษาหนึ่ง จึงจะออกธุดงค์ต่อไปทางภาคเหนือ เมื่อตกลงตามนั้น จึงได้พาเถ้าแก่ ส. เจริญชัย ลงมาที่จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อจะมาบอกหลวงพ่อเอนก ยสทินโน ว่าจะไปจำพรรษาที่อุดรธานี

มาถึงช่วงประมาณหัวค่ำ หลวงพ่อเอนกจึงบอกให้พาหมู่คณะทำวัตร ขณะที่นั่งสมาธิอยู่นั้น รู้สึกว่าร่างกายมันร้อนรนเหมือนไฟไหม้ตัวอยู่ตลอดเวลา เมื่อเป็นดังนั้นจึงได้ลาหลวงพ่อเดินทางกลับอุดรเลย ยังไม่ได้ทันทำวัตรด้วยซ้ำ ไปถึงประมาณตี ๔ กระต๊อบที่เขาทำให้พักเห็นแต่ควันไฟกับถ่านแดงๆ เหลืออย่างเดียวที่ยังไม่ไหม้ คือผ้านิสีทนะ เมื่อไฟไหม้หมดแล้วจึงได้หายร้อนเนื้อร้อนตัว สงสัยอาจเป็นเพราะผีเด็กคนนั้นมาทำให้รู้ เพราะเขาก็ช่วยอะไรเราไม่ได้เหมือนกัน แต่มันก็อาฆาตแค้นไว้อยู่ โยมที่ดูแลก็เลยบอกว่าไม่ต้องอยู่ตรงนี้ก็ได้อาจารย์ ขยับเข้าไปพักข้างในอีก แถวๆ บริเวณที่เขาฝังคนตายโหง (คือคนที่ไม่ได้ตายโดยธรรมชาติ) พอก่อนจะย้ายเข้าไปเราก็สวดมนต์ภาวนาอย่างเดิม สักพักได้ยินเสียงเด็กคนนั้นแว่วมาอีก “ถึงสิเข้าไปมันกะนำไปคือเก่านั้นละ” พอเข้าไปอยู่ก็เป็นจริงดังที่เขามาเตือน เขาก็พยายามเข้ามาไล่ออกไปอยู่หลายครั้ง โยมแม่ขึ้นมาเยี่ยมแล้วเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้หลวงพ่อเอนก ฟังหรือยังไงก็ไม่ทราบ หลวงพ่อเอนกก็กลัวเราจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ เลยเอารถขึ้นมารับพร้อมกับหลวงพ่อมหาสุพงษ์ ธูตธัมโม หลังจากกลับไปอุบลฯได้ไม่นาน ก็มีข่าวว่าพวกที่มาไล่ถูกรถชนตาย โดยกำนันตายก่อนเพื่อน ตายทีละศพ สองศพ บางคนนั่งกินข้าวอยู่ดีๆ ก็เลือดออกปากออกจมูกตายคาที่ก็มี รวมๆ แล้วเป็น ๑๐ กว่าศพ เขากลัวตายหมด ก็เลยพากันไปนิมนต์พระวัดป่าโนนนิเวศน์มาสวดเจริญพุทธมนต์ไว้ ถึงไม่มีคนตายอีก (ผู้เรียบเรียงสอบถามว่า หลวงพ่อได้ไปอาฆาตเขาไว้ไหม?)

ท่านตอบว่า ก็ไม่ได้คิดเคียดแค้นอะไร ส่วนที่แค้นก็คงจะเป็นวิญญาณเด็กที่พักอยู่กับเรา พอกลับมาอยู่อุบลฯ สักช่วงก่อนเข้าพรรษาก็ลงไปอุดรฯ อีก ไปบอกไปลาคณะที่อยากให้จำพรรษาที่อุดรฯ ปรากฏว่าวิญญาณเด็กคนนั้นก็มาลาเหมือนกัน จะลาไปเกิดแล้ว เมื่อเสร็จธุระแล้วก็กลับมาจำพรรษาที่วัดป่าหนองผักหวาน ที่วัดแห่งนี้ในสมัยนั้นการเป็นอยู่การเดินทางค่อนข้างลำบาก ทางเข้ามีแต่ขี้โคลน เวลาจะมาบิณฑบาต มาธุระก็ใช้เวลาเดินทางนาน อีกอย่างวัดค่อนข้างห่างไกล หากไม่มีบุญบารมีพอคงจะหาไฟฟ้าเข้าวัดยาก เลยได้แนวคิดใหม่ที่จะย้ายวัดมาอยู่ที่ป่าช้าทางทิศตะวันออกของบ้านโคกชำแระ ช่วงที่จำพรรษาที่วัดป่าหนองผักหวาน ก็เทียวพาญาติโยมมาตัดถนนในบริเวณป่าช้า จน พ.ศ.๒๕๒๘ จึงได้ย้ายจาก วัดป่าหนองผักหวาน มาเป็น วัดป่าทุ่งศรีอุดม ในปัจจุบัน

หลวงพ่อสาลี ขันติพโล วัดป่าทุ่งศรีอุดม อ.ทุ่งศรีอุดม จ.อุบลราชธานี
หลวงพ่อสาลี ขันติพโล วัดป่าทุ่งศรีอุดม อ.ทุ่งศรีอุดม จ.อุบลราชธานี

๏ โอวาทธรรม หลวงปู่สาลี ขันติพโล วัดป่าทุ่งศรีอุดม
“..คนทุกมื้อนี้ที่มันบ่ฮู้จักความ บ่ฮู้พ่อฮู้แม่ บ่เคารพ กะย้อนเลี้ยงลูกบ่เป็น เอานมงัวนมควายมาเลี้ยงมัน มันกะเลยมีนิสัยมุทะลุคืองัวคือควาย เบิ่งคนโบราณติละเพิ่นยากจนกะได้เอานมจะของนิละให้ลูกกิน ดำไห่ดำนายุลูกตื่นกะฟ้าวถิ่มกล้ามาเอานมให้ลูกกิน จังว่ามันฮู้จักความกว่าสมัยนี้ บอกหยังกะฟังบอกหยังกเฮ็ด ทุกมื้อนี้เหลือแต่มันสิฆ่าพ่อฆ่าแม่จะของ..”

“..การปฏิบัติมันต้องลองต้องทำเอง
ถ้าไม่ทำเองมันก็ไม่รู้ไม่เห็น
ถึงจะมีครูบาอาจารย์ดีขนาดไหน
มันก็เป็นคุณธรรมของท่าน
ท่านทำให้เราไม่ได้หรอก ทำได้แค่สอน..”

“..เพิ่นว่าไปส่อยงานครูบาอาจารย์ ไปส่อยอิหยัง? เพิ่นให้ไปส่อยทำวัตร ส่อยสวดมนต์ นั่งสมาธิพุ่นตั่ว บ่แม่นมาส่อยกินแล้วกะนอน หิวกะออกมาหากินอีก ส่อยแนวนี้เพิ่นว่าส่อยล้างส่อยผลาญ บ่เกิดประโยชน์ มาปฏิบัติธรรมกะให้มาเฮ็ดแนวนี้สั้นตั่ว บ่แม่นกินแล้วกะมานั่งสุมหัวคุยกัน ขั้นหลวงปู่ชายังอยู่ หมู่เจ้าบ่ได้อยู่สำบายปานนี้ดอก..”

“..ไม่มีใครปฏิบัติแทนเราได้หรอก นอกจากเราปฏิบัติเอาเอง ถึงจะมีครูบาอาจารย์ดีท่านก็ทำให้เราไม่ได้ ได้แต่ชี้ทางเท่านั้น ธรรมะมันก็อยู่ข้างๆหูข้างๆตา เรานี่แหละ มองไม่ดีมันก็ไม่เห็น ฟังไม่ดีมันก็ไม่ได้ธรรมะ ..”

เรียบเรียงโดย : หลวงพ่อถวิล ถาวโร และ สังกะลีธีม