วันศุกร์, 3 พฤษภาคม 2567

หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย วัดถ้ำพญาช้างเผือก ต.ห้วยยาง อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ

ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย

วัดถ้ำพญาช้างเผือก
บ้านปากช่อง ต.ห้วยยาง อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ

หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย วัดถ้ำพญาช้างเผือก
บ้านปากช่อง ต.ห้วยยาง อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ

หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย ท่านมีนามเดิมว่า วิไลย์ นามสกุล เตชะบุรมณ์ ถือกำเนิดเมื่อวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑ ปีระกา ตรงกับ วันศุกร์ที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๖ ณ บ้านดงบัง ต.ด่านช้าง อ.บัวใหญ่ (ปัจจุบันเป็น อ.ประทาย จ.นครราชสีมา)

โยมบิดาชื่อ คุณพ่อสงค์ เตชะบุรมณ์ โยมมารดาชื่อ คุณแม่ทา เตชะบุรมณ์ มีพี่น้องร่วมบิดาและมารดาเดียวกันรวม ๙ คน เป็นผู้ชาย ๘ คน และผู้หญิง ๑ คน โดยหลวงปู่เป็นบุตรคนที่ ๕ และมีน้องต่างบิดา ๓ คน เป็นผู้หญิง ๑ คน (ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเล็ก) และผู้ชาย ๒ คน รวมจำนวนพี่น้องทั้งสิ้น ๑๒ คน

หลวงปู่วิไลย์ เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาลบ้านดงบัง จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ แล้วออกมาชวยเหลืองานของครอบครัว จนอายุได้ ๑๖ ปี จึงได้บรรพชาเป็นสามเณร ภายหลังท่านได้ลาสิกขากลับไปช่วยงานของครอบครัวอีก เมื่ออายุครบเกณฑ์ทหาร หลวงปู่ไปเป็นทหารเกณฑ์ ๒ ปี เมื่อปลดประจำการแล้วก็กลับมาประกอบอาชีพทำไร่ไถนาดังเดิม

พ.ศ.๒๕๐๑ ขณะอายุได้ ๒๕ ปี หลวงปู่ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกาย อย่างไรก็ตาม ในช่วงก่อนเข้าพรรษาของปีเดียวกันนั้น ท่านได้แปรญัตติมาเป็นฝ่ายธรรมยุติกนิกาย โดยประกอบพิธีอุปสมบทใหม่ เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ เวลา ๑๙.๑๐ น. ณ วัดศรีจันทร์ อ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยมีพระวินัยสุนทรเมธี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาศรี ขันตยาคโม เป็นพระกรรมวาจารย์ พระมหาเขียน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “เขมิโย

พรรษาที่ ๑ (พ.ศ.๒๕๐๑)
พรรษาแรกนี้หลวงปู่วิไลย์ จำพรรษากับหลวงปู่บึ้ง ที่เสนาสนะป่าในละแวกบ้านที่อ.บัวใหญ่ เนื่องจากอยู่ใกล้กับโยมบิดา มารดา หลังจากออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ออกเดินทางเพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ มาจนถึง จ.อุดรธานี และได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่ขาว อนาลโย ณ วัดถ้ำกลองเพล ซึ่งหลวงปู่ขาวเพิ่งมาตั้งวัดถ้ำกลองเพล เป็นปีแรก

พรรษาที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๐๒)
จำพรรษาที่วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร กับหลวงปู่จันทา ถาวโร หลวงปู่ขาน ฐานวโร รวมพระเณรทั้งสิ้น ๗ รูป ตามความประสงค์ของหลวงปู่ขาว อนาลโย เนื่องจากหลวงปู่ขาวจำพรรษาที่นั้น เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ และได้ย้ายมาตั้งวัดถ้ำกลองเพล เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๑ ทำให้วัดร้างไป ไม่มีพระอยู่จำพรรษา ชาวบ้านชุมพล จึงเดินทางมากราบเรียนขอพระจากหลวงปู่ขาวไปจำพรรษา เมื่อออกพรรษาแล้วพระ เณรทั้งหมด ก็เดินทางกลับมาวัดถ้ำกลองเพล

พรรษาที่ ๓ – ๑๑ (พ.ศ.๒๕๐๓ – ๒๕๑๑)
จำพรรษาที่วัดถ้ำกลองเพล อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี (ปัจจุบันเป็นอ.เมือง จ.หนองบัวลำภู) เพื่ออุปัฏฐากรับใช้ ศึกษาธรรม และปฏิบัติจิตภาวนากับหลวงปู่ขาว อนาลโย อย่างใกล้ชิดเป็นเวลา ๑๑ ปี ในระหว่างนั้น หลวงปู่วิไลย์ มีโอกาสได้พบและฟังธรรมะจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลายองค์ ที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนหลวงปู่ขาว อาทิ หลวงปู่หลุย จันทสาโร และหลวงปู่ชอบ ฐานสโม เป็นต้น นอกจากนี้ หลวงปู่มีโอกาสเดินทางไปตามสถานที่ตางๆ ด้วย อาทิเช่น พ.ศ.๒๕๐๓ หลวงปู่เดินทางเข้ากรุงเทพฯโดยพักที่วัดพระศรีมหาธาตุ และได้พบกับพระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่เมตตาหลวง) ซึ่งเคยอยู่ที่วัดถ้ำกลองเพลเช่นกัน จากนั้นได้ไปวัดอโศการาม โดยขนะนั้นท่านพ่อลี ธัมมธโร ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเดินทางต่อไปจังหวัดจันทบุรี และพักอยู่ที่วัดเนินเขาแก้วกับหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท ในระหว่างนั้น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ได้เสด็จมาบำเพ็ญพระกุศลที่วัดแห่งนี้ด้วย เนื่องจากอยู่ใกล้กับวังสวนบ้านแก้วของพระองค์

พ.ศ.๒๕๐๘ หลวงปู่เที่ยววิเวกไปทางจังหวัดอุดรธานี และ สกลนครโดยได้กราบนมัสการหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดป่าอุดมสมพร และพักอยู่ที่นั้นประมาณ ๑๕ วัน จากนั้นได้ไปที่วัดป่าบ้านหนองผือ ซึ่งเป็นวัดเก่าของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ก่อนเข้าพรรษา พ.ศ.๒๕๑๒ หลวงปู่กราบลาหลวงปู่ขาว เดินทางออกจากวัดถ้ำกลองเพล โดยตั้งใจจะไปออกหาประสบกาณ์ที่แตกต่างออกไป อย่างไรก็ตาม แม้หลวงปู่จะไม่ได้จำพรรษาที่วัดถ้ำกลองเพลอีกเลย แต่ก็ได้มากราบนมัสการ และศึกษาธรรมะจากหลวงปู่ขาวอย่างสม่ำเสมอ หลวงปู่วิไลย์ ท่านออกธุดงค์รอนแรมอยู่ตามป่าเขาแลเงื้อมถ้ำเพียงลำพังจนมาปักหลักอยู่ที่วัดถ้ำพญาช้างเผือกตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๘ จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.๒๕๖๐

หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย

ประวัติหลวงปู่วิไลย์ เขมิโย องค์ท่านบันทึกด้วยลายมือ

ขอกราบนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม และคุณพระสงฆ์ (เกล้า) ขอโอกาสจากประวัติความเป็นมาของชีวิตพอคร่าวๆ จำได้และจำไม่ได้บ้างเป็นของธรรมดา ไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะจำได้ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมด ถ้ามีคนจำได้ไปให้อาตมากราบแทบเท้าด้วย

ประวัติของพ่อแม่นั้น ท่านเป็นคนมีถิ่นฐานอยู่อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบันแยกออกเป็นอำเภอประทาย พ่ออยู่บ้านหนองค่าย แม่อยู่บ้านทุ่งมน ตำบลดูเหมือนจะเป็นตลาดไซอะไรจำไม่ได้ตะวันออกอำเภอประทายใกล้ๆ บ้านตลาดไซแถวนั้นนั่นแหละ อาตมาเกิดอยู่บ้านแม่นั้นแหละ ครอบครัวได้ถูกย้ายไปย้ายมา เหมือนพระกรรมฐานนี้แหละ พ่อตายจากไปตั้งแต่อาตมาอายุประมาณ ๓-๔ ขวบ สมัยก่อนนุ่งผ้าบ้างไม่นุ่งผ้าบ้าง จำได้ว่าพ่อตายด้วยโรคเพชร หมอแผนปัจจุบันเขาก็จะว่าโรคบาดทะยักอะไรทำนองนั้นแหละ พี่ชายไม่มีใครจำได้ ส่วนอาตมาหัวดีหน่อยก็เลยจำได้ เดี๋ยวนี้หัวดีก็เลยล้านไปเลย พอพ่อตายแล้ว ญาติพี่น้องก็ไปรับไม่อยู่บ้านหนองขามเตี้ย ซึ่งใกล้ๆหมู่บ้านดงบัง บ้านห้วยค้อ บ้านหญ้าคา บ้านห้วยยาง บ้านสาครก บ้านเก่างิ้ว บ้านหญ้าปล้อง เข้าสี่แยกโคกสี(เกล็ดลิ้น) แต่ก่อนขึ้นตำบลด่านช้าง ปัจจุบันแยกเป็นตำบลห้วยยาง ได้มาเติบใหญ่อยู่ที่บ้านขามเตี้ย

ต่อมาแม่ก็แต่งงานใหม่กับพ่อใหม่ที่อยู่บ้านดงบัง ตะวันตกหมู่บ้านขามเตี้ยประมาณ ๒-๓ กิโล ก็เลยได้ย้ายไปอยู่กับพ่อใหม่ที่บ้านดงบัง หมู่ที่ ๑๑ เหลือเท่าไหร่จำไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่บ้าน อยู่วัด ตำบลห้วยยาง อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นที่อยู่ปัจจุบัน พ่อกับแม่ของอาตมามีผลผลิตถึง ๑๒ คนเลยทีเดียว พี่ชาย ๔ คน อาตมาเป็นคนที่ ๕ คนที่ ๖ น้องสาวมีชีวิตอยู่บ้านดงบัง คนที่ ๗ ๘ ๙ เป็นผู้ชาย คนที่ ๑๐ เป็นผู้หญิงตายตั้งแต่เด็ก คนที่ ๑๑ ชาย ๑๒ ชายรวมเป็นชาย ๑๐ คนหญิง ๒ คนหญิงเหลือ ๑ คนคนที่ ๒ ตายแต่เด็กๆ พ่อเก่ากับแม่ได้ผลผลิตแก้วคนแม่กับพ่อใหม่ได้หญิง ๑ คน ชาย ๒ คน

ชีวิตความเป็นอยู่ต้องพูดถึงถ้าไม่พูดก็ไม่รู้เพราะไม่ใช่ปะละหารเขาว่า แต่บางหันก็ไม่รู้เหมือนกันแหละ ทั้งเป็นกำพร้าทั้งเป็นกัมพลอย มันไม่ใช่ “เป็นกำพร้าพ่อแม่ยังเบิด เป็นกัมพลอยลูกเมียมีพร้อม” บรรดาลูก ๑๒ คน อาตมารู้สึกว่าอาตมามีความทุกข์มากกว่าทุกคน ลำบากกว่าทุกคน จนเป็นเยื่อใยมาถึงทุกวันนี้แหละ อาตมาไม่เคยลืมมันเลย คิดถึงความทุกข์ที่พ่อแม่พาอยู่พากินหายากพาลำบากลำบน อาตมาเหมือนเอามากินกับข้าวทุกคำเลยทีเดียว สมน้ำหน้าตัวเอง อยากเกิดมาทำไม ขอให้ทุกข์ยิ่งๆ กว่านี้ด้วยเถอะ

อาตมาออกบวชเป็นพระได้อยู่ใต้ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ เอาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไว้เบิ่งเกศเกศามาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๐๑ ซึ่งพ้นจากการเป็นทหารเกณฑ์มาแล้ว ๒ ปี เมื่ออายุ ๒๕ ปีเต็ม เขาว่าอายุอะไรนะ อายุย่างเข้าเบญจเพศ ว่าตามเขา เพราะบวชมาปีที่ ๑ ก็พรรษาอยู่ที่บ้าน เพราะออกพรรษาคิดอยากจะออกแสวงหาครูบาอาจารย์ ก็คิดดำริในใจว่าครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกว่าครูบาอาจารย์ที่อยู่ปัจจุบันจะมีไหมหนอ

ในคืนคืนหนึ่งก็เลยฝัน ฝันว่าเราเป็นพระได้ไปเที่ยวๆ ไปๆ เดินทางไปทางทิศเหนือเขาเรียกว่าทิศอุดรเดินไปๆ ไปเจอวัดๆ หนึ่ง ในบริเวณวัดมองเข้าไปเห็นเป็นธาตุที่เขาใส่กระดูกอยู่ตามกำแพงวัด เราเดินเข้าประตูทางทิศเหนือไปเจอกุฏิหลังหนึ่งดูเป็นเชิงกุฏิคอนกรีตไม่ยกพื้น เพราะเข้าไปในกุฏิมองเห็นผ้าขาวนั่งอยู่ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เห็นแสงสว่างพุ่งขึ้นข้างบนเหมือนเราส่องไฟฉายขึ้นข้างบนสว่างเป็นช่อขึ้น ตาผ้าขาวเราเรียกว่าพ่อขาว พ่อขาวก็บอกว่าเสี่ยงทายดูวาสนา แต่เราไม่รู้ว่าวาสนาของใครที่เรามองเห็นนั้นสว่างไสวดี แล้วพวกเขาก็บอกว่าจะเสี่ยงดูวาสนาให้เรา แต่ปรากฏว่ามีแสงสว่างเหมือนกันแต่ไม่มากเหมือนอันก่อน แล้วก็รู้สึกตัวตื่นนอนขึ้น

พ่ออยู่ต่อมาก็เดินทางขึ้นไปทางจังหวัดอุดรธานีนั่นแหละ เดินทางไปเรื่อยๆ ออกจากบ้านบัวใหญ่ไปพักเมืองพล บ้านแฮด บ้านไผ่ ถึงอุดรธานีประมาณเดือนอ้าย เดือนธันวาคม ปี พ.ศ.๒๕๐๑ ไปถึงวัดถ้ำกลองเพล แต่ก่อนขึ้นจังหวัดอุดรธานีเดี๋ยวนี้แยกเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งหลวงปู่ขาว อนาลโยอยู่ที่นั่น ซึ่งท่านก็พึ่งมาอยู่ใหม่ในปีนั้นเอง พุทธศักราช ๒๕๐๑ อาตมาก็บวชในปีนั้นเอง ตอนนั้นอายุหลวงปู่ขาวประมาณ ๖๐ กว่าๆ ไปถึงวัดถ้ำกลองเพลในหน้าหนาวชาวนาเก็บข้าวเสร็จใหม่ๆ ให้ท่านผู้อ่านคิดถึงคำฝันกับตอนมาถึงวัดถ้ำกลองเพลดูจะเป็นยังไง

เพราะอาตมามาถึงวัดถ้ำกลองเพลแล้วก็เข้ามอบตัวกราบไหว้หลวงปู่ขาว อนาลโยด้วยความเคารพได้มอบกายถวายชีวิตในหลวงปู่ เป็นลูกศิษย์ลูกหาเป็นลูกเป็นเต้าของหลวงปู่ ฝึกหัดข้อวัตรปฏิบัติอุปัฏฐากด้วยหมู่ด้วยคณะเป็นเวลาหลายปี วิสัยหลวงปู่ขาว ท่านชอบสงบมาก ตอนเราเข้าไปอยู่ใหม่ๆ เวลานั่งฉันเป็นแถว ท่านนั่งอยู่ เวลาเราจะถามหรือพูดกันต้องกระซิบเบาๆ ไม่ให้มีเสียงต้องมีสติระวังตัวอยู่ทุกเมื่อ เวลาเราทำผิดเนื่องจาก “ฮื้อ” คำเดียวเท่านั้นแหละเหมือนเตือนให้เรามีสติ

เราเคารพท่านมาก เรารักท่านมาก เราถือเหมือนพ่อของเราจริงๆ ท่านให้ความเมตตาให้ความสงสารให้ทุกสิ่งทุกอย่างในความรู้ในธรรมคำสอน จนท่านพูดว่า “ถ้ามรรคผลที่เราทำมาเอาให้ได้ เราก็จะเอาให้เจ้าทุกคนแหละ” เราถือท่านเสมือนพ่อ เราสงสัยดูอะไรในธรรมข้อไหนลึกตื้นอย่างไร ท่านยินดีตอบยินดีแนะนำตลอด ให้ความรู้ให้ความเห็น ให้อุบาย ให้การแก้ไข จิตใจของเราคิดอย่างไรปรุงแต่งอย่างไร แล้วนำไปเล่าให้ท่านฟัง เราไม่ต้องอายขายหน้ามันเลย มันคิดเข้าบ้านเรื่องของกิเลส ตัณหา ต้องทำแบบนั้น ต้องคิดแบบนั้น ต้องปฏิบัติแบบนั้น เราไม่ต้องอาย บางทีเรายกปัญหาขึ้นมาพูด แต่พูดไม่ให้มันถูก เรียกว่าพูดเป็นอุบาย เหมือนเราต้องการไข่มดแดง เราเอาไม้ไปแหย่แหย่ทั้งนั้นแหละ ไข่มดแดงก็จะร่วงลงมาให้เราได้กินเลย ฉันนั้นก็เหมือนกัน บางทีเราหวังจะแกล้งถามท่านให้ติด ท่านก็ไม่ติด ถามท่านหมดมรรคผลสวรรค์นิพพาน หลวงปู่ขาวเป็นคนโบราณหนังสือไม่ได้เรียน ท่านเขียนหนังสือไม่ได้ แต่อ่านออกท่านอ่านสวดได้หมด เราสู้ท่านไม่ได้ทุกอย่างเลย เรายอมท่านอย่างราบคาบเลย

อาตมาอยู่กับหลวงปู่ตั้งแต่ปี ๒๕๐๑ ถึงปี ๒๕๑๒ อาตมาจึงออกจากท่านไป เป็นเวลาที่อยู่กับท่าน ๑๑ ปี คำพูดที่ท่านพูดเป็นคำดุ (ด่า) (อีตาอันนี้) มีคำเท่านี้ที่ว่าเรา คำอื่นไม่มี ท่านมีธรรมคือเมตตามากจึงรู้สึกเย็นอยู่ตลอดเวลา บางครั้งไปวิเวกจิตใจเดือดร้อน พอกลับมาหันหน้าเข้าหาวัดถ้ำกลองเพลเท่านั้น รู้สึกจิตใจเย็นวาบเลย ที่อยู่กับท่าน ได้ยินได้ฟัง ได้รู้จักครูบาอาจารย์หมู่พวกคณะมากมาย ทั้งท่านมรณภาพไปแล้วก็มาก ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มาก ก็เป็นอานิสงส์อีกอย่างหนึ่ง ดีกว่าที่เราไม่ได้อยู่กับครูบาอาจารย์เลย

วันหนึ่งเราเดินเพลินๆ ก็คิดขึ้นมาว่าครูบาอาจารย์และเพื่อนฝูงองค์นั้นไปอยู่วัดป่าบ้านนั้น รูปนี้ไปอยู่ภูนั้น รูปนั้นไปอยู่ถ้ำนั้นที่ภูนั้น ที่อยู่ภูนั้นหรือถ้ำนั้นมีศักดิ์ศรีกว่าสมฐานะกว่า มันบอกว่าฐานะศักดิ์ศรีของลูกศิษย์พระกรรมฐานจะต้องอยู่ภูหรืออยู่ถ้ำ อาตมาก็เลยอยู่ภูมาหลายภู อยู่ถ้ำมาหลายถ้ำ ปัจจุบันก็เลยมาตกค้างอยู่วัดถ้ำพญาช้างเผือก บ้านปากช่อง ตำบลห้วยยาง อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ ตั้งแต่ปี ๒๕๒๘ จนถึงขณะนี้ หัวคิดอันนี้มันคิดขึ้นมาเองไม่มีใครแนะนำพร่ำสอน

อาตมาได้ออกจากวัดถ้ำกลองเพลตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๑๒ พรรษา ๑๒ ก็ได้เที่ยววิเวกไปในที่ต่างๆ หลายแห่งหลายหนหลายภูหลายเขา ไม่อาจจะนำมาเขียนลงในที่นี้ได้ ปีพุทธศักราช ๒๕๑๒ มาจำพรรษาอยู่เขตอำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ๕-๖ ปี ไปอยู่ภูเก้า เขตอำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี ๕ ปี ไปอยู่วัดพระพุทธบาทภูพานคำ วัดพระใหญ่ เขื่อนอุบลรัตน์ อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ๓ ปี อยู่จังหวัดเพชรบูรณ์ ๒ ครั้ง ครั้งละ ๑ พรรษา พรรษาสุดท้ายก็เลยมาอยู่ถ้ำพญาช้างเผือกนี่แหละในวันที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๒๘

ประวัติวัดถ้ำพญาช้างเผือก
อาตมามาองค์เดียว ถ้าจะพูดเล่นๆ ก็ว่า พระเอก พระเอโก พระรูปเดียว อาตมามาอยู่เป็นพระเอกอยู่ในถ้ำนี้ถึง ๓ ตอนมาอยู่ใหม่ๆอยู่ในถ้ำ มีร้านอยู่ข้างในพอนอนได้สูงแค่เอว ปูด้วยไม้ไผ่ฟากที่สับเป็นแผ่นปูพื้นเก่าๆขึ้นราดำตึ๊ดตื๋อ ทั้งฝุ่นตั้งขี้เยี่ยวค้างคาวกลางวันจะไปที่พักต้องส่องไฟพักอยู่ ๒-๓ นาทีก็ค่อยๆ สว่างออกๆ ดีไหม อยู่ ๑๔ วัน ๑๔ คืน เสื่อจะปูนอนก็ไม่มี หมอนจะหนุนก็ไม่มี เอาผ้าอาบน้ำและผ้าอื่นๆ ปูนอน เอาห่อผ้าครองห่อผ้าไตรเป็นหมอน ของใช้อื่นไม่ต้องพูดถึง ๑๔ วัน ๑๔ คืน หาคนๆ หนึ่งมาเยี่ยมมาหามาถามว่าหลวงพ่อมาจากไหนอยู่ที่ไหนไปยังไงมายังไงไม่มีเลย ช่างดีจริงๆ เวลาออกบิณฑบาต ข้าวพอมีแต่กับไม่ค่อยมี จึงค่อยอดๆ อยากๆ วันไหนบังเอิญได้ปลาร้าบองเท่าหัวแม่มือ ให้โยมปิ้งไฟ เอามาฉันกับข้าวรู้สึกเอร็ดอร่อยมีรสชาติ มีชีวิตชีวาเสียเหลือเกิน ในชีวิตนี้ในชาตินี้จัดว่าเป็นอาหารทิพย์ได้เลย เพราะว่าความหิวของธาตุขันธ์

ข้างถ้ำเป็นหน้าผามีต้นมะละกอขึ้นอยู่ต้นหนึ่ง สูงประมาณยื่นมือถึง มีลูกๆ หนึ่งสุกเหลืองกลมๆ เท่าสองกำปั้น ไปยืนมองใจก็คิดว่าน่าจะหวานน่าจะอร่อย เหมือนเสือหิว จะเอามากินเองไม่ได้ผิดอาบัติของพระ ได้แต่มองอยู่เฉยๆสมน้ำหน้าตัวเองตามปกติมะละกอลูกกลมๆ ก้านไม่มีใบไม่มีถึงเราจะเอามากินมันก็ไม่หวานหรอก เราคิดว่ามันจะหวานเพราะความหิวของเรา พออยู่มาได้ ๑๔ วัน ๑๔ คืน ก็ตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะไปดี ใจหนึ่งก็ว่าอยู่อย่างนั้นแหละสบายดี เยือกเย็นใจสบายใจ อีกใจหนึ่งก็บอกว่าจะอยู่อย่างไรอาหารการฉันก็เป็นอย่างนี้ ชาวบ้านญาติโยมก็เป็นอย่างนี้ ใจมันก็เกิดเถียงกัน ใจเย็นใจสบายก็บอกว่าอาหารญาติโยมช่างเขาเถอะ ใจหนึ่งก็ถามว่าเราจะทำอย่างไร ใจหนึ่งก็บอกว่าเราต้องพึ่งตัวเอง ใจหนึ่งมันก็ซักไซ้ว่าพึ่งตัวเองอย่างไร ใจหนึ่งมันก็มองไปถึงญาติโยมบ้านอื่นบ้านไกลบ้านที่เราเคยอยู่อาศัยที่ผ่านมาทุกที่ทุกแห่ง

อาตมาเคยสร้างวัดมาหลายแห่ง ปฏิสังขรณ์ก่อสร้างตามวัดที่เคยอยู่มาเป็นอันมาก ด้วยเดชะผลการกระทำนั้นให้ผลตลอดมา อาทิ หมู่บ้านต่างๆ เช่น บ้านหนองพลอง อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น บ้านสร้างเสี้ยน อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู บ้านกุดดู่ อำเภอโนนสัง จังหวัดหนองบัวลำภู ตลาดเขื่อนอุบลรัตน์ อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ตลาดเช้าอำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น และอื่นๆ ทั่วไป ที่มีความเคารพนับถือ ได้ข่าวว่าอาตมาไปอยู่ที่ใด เขาจะตามไปดูไปสืบไปหาว่าอยู่อย่างไรกิน อย่างไรสุขทุกข์อย่างไร เขาจะห่วงใยอยู่ตลอด อาตมาก็ชื่นใจปลื้มใจมีกำลังใจ และขอบคุณในน้ำใจอันดีอันประเสริฐไว้ ณ ที่นี้ด้วย

อาตมามองเห็นผลดังที่กล่าวมานี้แหละ จึงได้บอกใจตัวเองตกลงใจตัวเองว่าพึ่งตัวเอง ก็หมายความว่าเราจะต้องบอกแก่ญาติโยมของเรา จะได้มาช่วยมาช่วย ก็เป็นไปตามความคาดหมายทุกประการตลอดถึงทุกวันนี้ ส่วนความคิดที่มันบอกว่าอยู่ที่นี่สบายดีแล้ว หมายถึงใจมีความสุขสงบ ทุกข์กายแต่สุขใจมีกำไรในชีวิต สุขกายทุกข์ใจขาดทุนชีวิต เข้าทำนองคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก อาตมาอยู่ในลักษณะพึ่งตัวเองเราสร้างอะไร เราจะทำอะไรขึ้นก็จะคิดว่าเราจะสร้างได้ไหมหนอ เราพร้อมหรือยัง เราจะเดือดร้อนไหม ไม่คิดอาศัยคนอื่น โดยไม่คิดว่าญาติโยมเขาจะมาช่วยเท่าไรแค่ไหนอย่างไร อย่างดีก็บอกเพราะเขาได้รู้ เขาจะช่วยมากน้อยแล้วแต่กำลัง ช่วยก็ช่วยไม่ช่วยก็แล้วไป ก็เป็นอันว่าไม่ต้องเดือดร้อนทั้งสองฝ่ายนี่คืออานิสงส์พึ่งตนเอง

อาตมาเราเป็นคนขี้เกรงใจ ไม่ถามก็จะไม่บอก ไม่ขออะไรแล้วแต่จะได้แล้วแต่จะให้ ให้ก็เอาไม่ให้ก็ไม่เอา มีก็กินไม่มีก็ไม่เป็นไร มันคิดสมมุติว่าเรายื่นซองผ้าป่าหรือกฐินให้เขาคนหนึ่งต่อหน้าเรา ถ้าเขาไม่รักก็ไม่งาม รับไปแล้วเขาไม่มีเงินไปเขาก็ทุกข์ใจ บางทีมีเงินที่จะใช้เฉพาะกิจ จะใส่ซองมันก็ขาด ก็ขาดอย่างนี้ก็ทุกข์ใจ เวลาไม่มีจริงๆ มันก็ยิ่งทุกข์ใหญ่ไปอีก อาตมาเกรงใจตรงนี้สมัยหนึ่งอาตมาไปอยู่บนภูเก้า ปัจจัยบาทเดียวก็ไม่มีคิดว่าถ้าเราเป็นไข้ปวดหัวจะเอาอะไรไปซื้อยาทันใจมากิน เวลามันไม่มีถึงจะจับขาขึ้นเขย่า มันไม่มีอะไรจะตกออกเลย ก็เลยปลงเอาแต่บุญแต่กรรม ใครทำก็ทำ ใครไม่ทำก็แล้วแต่ เราก็ไม่เดือดร้อน เขาก็ไม่เดือดร้อน

อาตมาเกิดมาเป็นคนอาภัพวาสนา เกิดวันจันทร์ พุทธศักราช ๒๔๗๖ ปีระกาไก่ เดือนอ้าย อัฐมาดูตัวเองเหมือนไก่เถื่อน ไก่เถื่อนก็คือไก่ป่า ไก่ไม่มีเจ้าของ ไม่มีคนเลี้ยงดูอุปถัมภ์ค้ำชู มันเหมือนไก่ตื่นเช้ากระโดดลงจากที่นอนก็คุ้ยเขี่ยหาอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตลอดทั้งวันจนขาจะขาด ค่ำมืดแล้วก็เข้านอน อาตมาก็มีความเป็นอยู่เช่นเดียวกันการกระทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของชีวิตคนมองเผินๆ ดูเหมือนว่าเป็นคนขยันแต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ ทำด้วยความทุกข์ยาก ทำด้วยความจำเป็น ทำด้วยการบรรเทาทุกข์เท่านั้น

บางครั้งก็มีผู้มาถามอยู่หลายครั้งหลายคนว่าท่านเป็นลูกศิษย์ของใคร เราไม่รู้จะตอบเขาว่าอย่างไรดี ตอบได้แต่คำว่าอาตมาแต่ก่อนเคยอยู่กับหลวงปู่ขาว เราไม่อาจจะตอบว่าเป็นลูกศิษย์เพราะคิดว่า คำว่าศิษย์มันหมายความว่าอย่างไร เพราะเราเคารพนับถือท่านมาก ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมากมายจนหาที่ตำหนิไม่ได้ ท่านขาวสะอาดจริงๆ ไม่ใช่ขาวแต่ชื่อ ท่านขาวกระทั่ง กาย วาจา ใจ อยู่กับคำว่า “เกลี้ยงทางใน ใส่ทั้งกระดูก เกลี้ยงทำข้าวปลูกทั้งข้าวปัดลาน ไม่ใช่เกลี้ยงแต่นอกทาง ในเป็นหมากเดื่อบี๋ เบิ่งแล้วแมงมีซ้อนอยู่ใน”

ถ้าเราจะตอบว่าเราเป็นศิษย์ของท่าน เราทำได้อย่างท่านไหม ตรงนี้แหละเป็นสิ่งน่าละอายใจเป็นอย่างยิ่ง อาตมาไม่กล้าพูดว่าเป็นศิษย์อาจารย์มาเคยรู้เคยเห็น บางท่านบางคนบอกว่าฉันเป็นลูกศิษย์คนนั้นคนนี้ ลูกคนนั้นหลานคนนั้นมันเป็นศิษย์ ลูกหลานสมมติหรือเป็นจริงๆ เขานี่แหละควรคิดคำว่าลูกศิษย์ตถาคต พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใครก็ตาม เป็นสิ่งที่มีความหมายอย่างมากๆ เลยทีเดียวอย่าให้เป็นผีแลกหน้าพร้าแลกคม มันจริงจะสมกับคำว่า “คนก็ให้เป็นคนแท้ๆ อย่าเป็นคนตั้งแต่ชื่อ คนให้ฮวดก้นหม้อเหนียวตุ้ยจริงแม่นคน” เอาไว้แค่นี้ก่อน

จะย้อนกล่าวถึงการตั้งชื่อถ้ำ ถ้ามีชาวบ้านในเขตนั้นเขาเรียกว่าถ้ำเถ้า เวลาเราเดินไปในพื้นที่ถ้ำ ดินจะปุยขึ้นมาเหมือนเราเหยียบลงไปในขี้เถ้าไฟ สันนิษฐานว่าสมัยก่อนนายพรานไพรคงเคยมาพักอาศัยก่อไฟหุงข้าวทำกิน ย่างเนื้อหลายครั้งหลายหน ก็เลยมีขี้เถ้าเพิ่มมากขึ้น อาตมาตรวจตราดูหิน มองไปมองมาเห็นสภาพหินย้อย แต่ก่อนตรงนั้นจะเป็นช่องเป็นรู เวลาฝนตกน้ำจะไหลออกมาจากรูนั้นจนเป็นคราบหินปูนจับกันเป็นก้อน จนกลายเป็นเหมือนรูปช้างเผือกทั้งตัวอย่างเด่นชัด เป็นรูปหัวช้าง มีตา มีหู มีขาหน้าขาหลัง เป็นรูปสัตว์ช้างทั้งหมด ปัจจุบันอาตมาเอาพระประธานตั้งไว้ใต้ท้องช้างเวลาขึ้นไปบนถ้ำพระที่หนึ่ง มองเห็นพระประธานบอลคอกพระประธานนั้นและเป็นรูปช้างเผือกอาตมามองไปเห็นก่อนใครใครทั้งหมดก็คิดจะตั้งชื่อเท่าเสียใหม่ถ้าจะให้ชื่อเอราวัณก็จะไปทับถ้ำเอราวัณ อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ถ้าจะตั้งชื่อถ้ำช้างเผือกเฉยๆ ก็ไม่ใหญ่ไม่สมศักดิ์ศรี ก็เลยเอาพยานำหน้าก็เลยได้ชื่อว่าวัดถ้ำพญาช้างเผือกตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้แลฯ

ครั้งแรกอาตมามาอยู่ในถ้ำมีรูปเดียวอยู่ ๓ ปีเต็ม ทั้งแล้งทั้งฝน ฉันจังหันเสร็จก็ทำงานตลอดวัน อาตมาฉันคนเดียวเป็นวัตร ปรับพื้นที่ภายในพื้นขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ หารถน้ำมาขนดินขนหินอยู่คนเดียวตลอด ๓ ปี จึงดูพออยู่ได้ ในเวลาทำอยู่นั้นมีก้อนหินก้อนหนึ่งใหญ่ประมาณเท่าช้าง ๓ ตัว มันปิดบังแสงสว่างที่ส่องเข้ามาทางปากถ้ำ ทำให้มืดต้องพยายามจะเอาหินก้อนนั้นออก บังเอิญหินก้อนนั้นเป็นหินก้อนที่หล่นลงมาจากแถวนั้น เราคนเดียวก็กดเข้าไปได้ก้อนหินให้เป็นโพรงที่ตรงกลางก้อนหินพอก่อไฟได้ ปิดไฟแล้วก็ไปเที่ยวหาแบกฟืนไม้แห้งขนาดใหญ่พอแบบไหวมาใส่ เขาอยู่อย่างนั้นทั้งกลางวันกลางคืนอยู่สองสามวันทางจิตใจก็ลำบากหนักใจว่า ทำอย่างไรหนอฉันจะออกให้คิดแล้วลองเอาค้อน ๘ ปอนด์ไปทุบไปตีก้อนหิน ก้อนหินเมื่อถูกไฟเผามันก็ร้อน เราก็เอาค้อนไปตีด้วยความไม่มั่นใจเพราะมันก้อนใหญ่ที่อยู่อย่างนั้นแหละเหมือนกลับไปจั๊กจี้ช้าง ตุ๊บๆ ตุ๊บๆ ตุ๊บๆ เหมือนกับมีอภินิหารหรือมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาช่วย ถ้าคนธรรมดาก็จะว่ามีเทวดามาช่วย อาตมาไม่ใช่คนธรรมดาอาตมาเป็นพระ แล้วก็มองไม่เห็นเทวดาด้วย ก้อนหินก้อนใหญ่นั้นแตกแบ่งออกกึ่งกลางก้อนเลยน่าอัศจรรย์จริงๆ น่าอัศจรรย์ใจ เข้าสารในโอเงยคอตอดไก่ รู้สึกดีใจอยู่คนเดียว แล้วก็มาขุดโพรงเผาก้อนที่แตกออกอีกเผาอีก เอาค้อนปอนด์ตีอีกแตกอีกอัศจรรย์อีก ทำไปเรื่อยๆ จนก้อนหินก้อนนั้นหมดไม่มีเหลือ ขนใส่รถน้ำนำมาทำเขื่อน กั้นดินบ้าง กั้นเขื่อนกั้นถนนบ้าง แสงสว่างก็ส่องได้ตลอดถ้ำ

ถ้าเราเปรียบเทียบกับธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว ก็คงจะอยู่ในหมวดการทำความเพียรที่ว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่นเข้ากับคำว่า ฝนทั่งให้เป็นเข็ม จริงไหมท่าน อาตมาชอบเป็นคนจัญไรตีนจัญไรมือ ก่อปูนเองฉาบปูนเอง จะไปจ้างเขาค่าจ้างก็ไม่มี มีก็เล็กๆ น้อยๆ พอเป็นค่าอุปการะเท่านั้น ใจมันบอกว่าช่างมันเอาอะไรทำ เอามือทำ เรามีมือไหม มันเลยเกิดมาเป็นคนจัญไรไม่ได้อยู่เป็นสุข บางครั้งทำงาน ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่มก็มี อัปรีย์มาก พอครบ ๓ ปีก็พอดูได้พออยู่ได้ ก็เลยหยุดทำความเพียรอย่างตั้งใจจริงๆ ปูนซีเมนต์เหลือค้างอยู่ ๑ ถุง ถ้าทำงานก็ประมาณ ๒-๓ วันก็หมด ไม่ทำ หยุดแต่วันนั้นเป็นเวลา ๒ ปีเต็ม พอมีกำลังจิตกำลังใจแล้วก็กลับมาทำงานต่อไป ดูปูนถุงนั้นเหมือนก้อนหินมันแข็งก็ไม่ทิ้ง เอามาบดให้ละเอียดเหมือนเดิม ใช้ผสมกับปูนใหม่ใช้ได้เหมือนเดิม เริ่มสร้างภายนอกถ้ำ มีศาลา โรงครัว ที่พัก กุฏิ ห้องน้ำ เสริมมาเรื่อยๆ ภายในถ้ำขณะนี้จะทำให้เป็นอุโบสถ (โบสถ์) เพื่อเป็นที่ทำสังฆกรรมในพระพุทธศาสนาต่อไปเท่านานแสนนาน

หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย วัดถ้ำพญาช้างเผือก
บ้านปากช่อง ต.ห้วยยาง อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ

หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย ท่านเริ่มอาพาธด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเมืองกลางปี พ.ศ.๒๕๕๖ จึงได้ทำการรักษาโดยให้คีโม ณ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น แต่อาการอาพาธของท่านค่อย ๆ ทรุดลงจนธาตุขันธ์เกินจะแบกภาระไว้ได้ หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย ท่านจึงละสังขารลงเมื่อเวลา ๑๒.๐๔ น. ตรงกับวันอังคารที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๐ ณ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น

สิริอายุรวม ๘๓ ปี ๒ เดือน ๑๒ วัน ๕๘ พรรษา

กำหนดพิธีถวายเพลิงสรีระสังขาร
ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๐ ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดของหลวงปู่วิไลย์ พิธีเริ่มขึ้นตั้งแต่ ๑๓.๐๐ น. – ๑๕.๐๐ น. ณ เมรุชั่วคราววัดถ้ำพญาช้างเผือก บ้านปากช่อง ตำบลห้วยยาง อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ
ขอเชิญร่วมงานพิธีถวายเพลิงสรีระสังขาร พระครูญาณวราจาร (หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย) ณ เมรุถาวร วัดถ้ำพญาช้างเผือก บ้านปากช่อง ตำบลห้วยยาง อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ ในวันศุกร์ที่ ๑ ถึงวันอาทิตย์ที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๐

โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่วิไลย์ เขมิโย

“..นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายส่วนใหญ่ก็เช่นเดียวกัน นั่งเข้าไปก้นยังไม่อุ่น ยังไม่เท่าหมานั่ง อยากเห็นนั่นเห็นนี่ อยากให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยากรู้นั่นรู้นี่ มันเข้าในเกณฑ์อยากเกินประมาณ คำว่าเกิน ๆ นี่แหละ มันทำพิษ ทำโลกรุ่มร้อนอยู่ทุกวี่ทุกวัน

สมมุติเราทำน้ำพริกถ้วยหนึ่งในน้ำพริกถ้วยนั้นมีสิ่งที่เกินอยู่ในนั้น มันจะกินได้ไหม…น้ำพริกใส่พริกมากเกินไป น้ำปลามากเกินไป ใส่มะนาวมากเกินไป ลูกศิษย์เกินครู ลูกเกินพ่อแม่ พูดมากเกินไป คุยมากเกินไป โม้มากเกินไป บ่นมากเกินไป จู้จี้มากเกินไป หึงมากเกินไป ระแวงมากเกินไป สงสัยมากเกินไป ดีใจมากเกินไป เสียใจมากเกินไป รักมาก ชังมาก พระพุทธองค์ตรัสว่ามัชฌิมาปฏิปทา ให้พอดี น้ำพริกพอดีกินได้เอร็ดอร่อย ที่พูดมาทั้งหมดให้ระวังอย่าให้มันเกินประมาณ ประมาณคือขอบเขตอย่าให้มันเกินออกไป มันจะไม่พอดีพองามพอเหมาะพอสม

อาตมาคิดเห็นความอยากของคนที่เกินประมาณ จะทำสิ่งใดก็อยากได้ผลเร็วๆ ให้ทันจิตทันใจ ทำปุ๊บตอบปั๊บ ทำวันนี้เห็นวันนี้ สมมุติเราทำบาปเสร็จเกิดหม้อนรกปุ๊ปขึ้นเดี๋ยวนั้น เห็นยมบาลเดี๋ยวนั้น หัวใจมันจะไม่ช็อคตายหรือ มันอัปรีย์จังไรจริงๆ สมมุติมีเด็กหญิงคนหนึ่งอายุ ๓-๔ ขวบ เกิดมีท้องตั้งครรภ์ขึ้นมา เราจะเห็นว่าเป็นอย่างไรในเมื่อมันไม่สมควรจะเป็น มันฝืนธรรมชาติ ปลูกข้าวลง คอยจะขยี้เอาเม็ดมากิน เคยมีไหม น้ำยังไม่เต็มตุ่มเต็มไห จะร้องขออ้อนวอนให้มันล้นออกมาจากปากหม้อปากไห ตายแสนชาติก็ไม่เจอ ความอยากมันเกินพระพุทธเจ้า เลยไปแล้ว เลยไปหาพระเทวทัตแล้วอเวจีโน้น

พระพุทธเจ้าของเราสอนให้ดูเหตุดูผล ความสุขเกิดจากเหตุอะไร ดี-ชั่ว บาป-บุญ คุณ-โทษ มรรค-ผล สวรรค์-นิพพาน เหตุดีผลย่อมดี ตอบเหมือนชาวนาปลูกข้าว ชาวสวนปลูกกล้วยมะม่วง ชาวนาชาวสวนต่างบำรุงดูแลให้น้ำใส่ปุ๋ยเป็นอย่างดี งอกงามสมบูรณ์เมื่อถึงฤดูกาลของข้าวออกรวง ใครจะไปหักห้ามไม่ให้มันออกก็ไม่ฟัง ใครจะไปบ่นไปแช่ง ถึงจะเอาหมอเวทมนต์มานั่งบ่นนอนห้ามอยู่กลางทุ่งนา มันก็ไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น กล้วยมะม่วงของชาวสวนก็เช่นเดียวกัน อะไรทุกอย่างในโลกนี้พอเกิดถึงเกิด พอเป็นไปได้จึงเป็นไปได้ พอเป็นพระพุทธเจ้าจึงเป็นพระพุทธเจ้า พอเป็นพระสงฆ์จึงเป็นพระสงฆ์ พอเป็นพ่อจึงเป็นพ่อ พอเป็นแม่จึงเป็นแม่ ปู่ย่าตายายจะเอาเด็กมาเป็นไปไม่ได้มันผิดวิสัย จะเรียกเด็กว่ายายนั่นตานี่ก็บ้าเท่านั้นแหละ ..”

คัดลอกมาจากหนังสือ “พญาช้างเผือก ประวัติปฏิปาหลวงปู่วิไลย์ เขมิโย”

ขอขอบคุณข้อมูลจากเพจ ท่องถิ่นธรรม พระกรรมฐาน