ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่ไพโรจน์ วิโรจโน
วัดดอยปุย
ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
◎ ชาติภูมิ
หลวงปู่ไพโรจน์ วิโรจโน นามเดิมชื่อ “เก่ง” นามสกุล “ภูมี” ถือกำเนิด ตรงกับวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒ ณ บ้านโพนสา ต.โพนสา อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย บิดาชื่อ นายเพ็ง และมารดาชื่อ นางทัด ภูมี
◎ การศึกษา
หลวงปู่ไพโรจน์ วิโรจโน ท่านเรียนจบชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ ๔ และได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดป่าอรัญวาสี อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ โดยมี พระธรรมไตรโลกาจารย์ (หลวงปู่รักษ์ เรวโต) วัดศรีเมือง จ.หนองคาย เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากอยู่ศึกษาข้อวัตรจากสำนักแล้วก็เดินทางไปถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่บัวพา ปัญญาภาโส วัดป่าพระสถิตย์ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
ขณะเป็นสามเณรได้ออกไปศึกษาพระปริยัติธรรมยังสำนักต่างๆ สอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรีที่วัดศรีเมือง อ.เมือง จ.หนองคาย ในปีพ.ศ. ๒๕๙๕ และสอบไล่ได้นักธรรมชั้นโทที่วัดพุทธนิมิต จ.นครสวรรค์
◎ อุปสมบท
ในปีพ.ศ. ๒๕๙๙ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมา ณ วัดรัมภาราม อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ โดยมี พระเทพวรคุณ (หลวงปู่พิมพ์ ปญฺญาทีโป) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “วิโรจโน” แปลว่า “ผู้สว่าง ผู้รุ่งเรือง ผู้แจ่มแจ้ง”
จากนั้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ท่านสามารถสอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอกที่วัดรัมภาราม อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี แล้วได้ออกจาริกแสวงหาโมกขธรรมร่วมกับท่านพระอาจารย์มหาถวิล ธัมมรโส , หลวงปู่ไพโรจน์ วิโรจโน และเพื่อนสหธรรมิกของท่านคือ ท่านพระอาจารย์มหาถวิล ธัมมรโส ได้ออกเที่ยวธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพรในเขตภาคใต้ ทางจ.ภูเก็ต กระบี่ พังงา ได้อยู่อบรมธรรมกับพระอาจารย์คำพอง (หลวงปู่คำพอง ติสฺโส แห่งวัดถ้ำกกดู่ จ.อุดรธานี) ที่วัดโคกกลอยเป็นแรมเดือน ท่านพระอาจารย์คำพอง ได้เล่าถึงปฏิปทาของพ่อแม่ครูอาจารย์แต่ละรูปแต่ละองค์ให้ฟัง จนท่านเกิดความเลื่อมใสและมีกำลังใจในการทำความพากความเพียร
ท่านทั้งสองจึงออกธุดงค์เดินทางต่อจุดหมายคือการขึ้นไปเที่ยววิเวกหาสถานที่ปฏิบัติธรรมและได้รับฟังธรรมคำสอนจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทางภาคเหนือ ท่านทั้งสองได้มาอยู่พำนักที่วัดสันติธรรม เข้าฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่สิม พุทธาจาโร แล้วติดตามไปร่วมสร้างวัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ก่อนขึ้นไปปฏิบัติธรรมบนดอยสุเทพ – ดอยปุย อยู่เป็นปี จึงได้ย้ายไปปฏิบัติธรรมอยู่ใกล้บ้านม้งดอยปุย ในเวลาต่อมา จนสามารถสร้างเป็นสำนักสงฆ์ได้ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๐ – ๒๕๑๑
พระครูวิทิตศาสนกิจ (หลวงปู่ไพโรจน์ วิโรจโน) ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติตรงปฏิบัติชอบ ตามแนวสัมมาปฏิปทาของพระบรมศาสดา และยึดถือวัตรปฏิบัติตามคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ เป็นพระมหาเถระประกอบด้วยองค์คุณ ทั้งฝ่ายคันถธุระ และฝ่ายวิปัสสนาธุระ เป็นพระนักพัฒนาช่วยสร้างสาธารณะประโยชน์ให้แก่ชุมชน โรงเรียน วัดวาศาสนา ท่านเห็นประโยชน์และส่งเสริมการศึกษาของเด็กๆ ชาวเขาบนดอยให้โอกาสเขาได้เรียนรู้ศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม ช่วยอนุรักษ์ปกป้องผืนป่าธรรมชาติให้คงอยู่แก่แผ่นดิน เป็นกองหนุนร่วมช่วยชาติให้พ้นวิกฤตเศรษฐกิจ กับโครงการช่วยชาติของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หลวงปู่ไพโรจน์ วิโรจโน ท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับชาวเขาชาวดอย เป็นร่มธรรมร่มใจให้แก่ศิษยานุศิษย์ เป็นแสงทองแสงธรรมที่เรืองรองส่องสว่างบนดอยปุย
◎ การมรณภาพ
เช้าตรู่ของวันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ พระเณรไม่เห็นหลวงปู่ลงมาทำวัตรเช้า ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำของท่าน พอถึงเวลาบิณฑบาตองค์หลวงปู่ไพโรจน์ก็ยังไม่ออกมา จนกระทั้งพระในวัดดอยปุยและญาติโยมซึ่งเป็นหลานชายของท่าน เกิดสงสัยว่าอาจเกิดอะไรขึ้นกับองค์ท่าน จึงได้ไปกราบเรียนที่กุฏิ เมื่อเรียกองค์ท่าน ก็ไม่มีเสียงตอบรับ จึงปีนขึ้นดูที่หน้ากุฏิที่พักท่าน จึงพบว่า..
“หลวงปู่ไพโรจน์ได้มรณภาพลงเสียแล้วในอิริยาบถนั่งพับเพียบอย่างสง่างาม ภายในกุฏิเหนือหน้าผาบนดอยปุย”
จึงนำความเศร้าสลดมาถึงศิษยานุศิษย์มากมาย ภายหลังแพทย์ได้วินิจฉัยว่า หลวงปู่ไพโรจน์ วิโรจโน มรณภาพจากสาเหตุ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เมื่อวันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เวลาประมาณ ๒๒.๐๐น. สิริอายุ ๗๔ ปี พรรษา ๕๔
◎ โอวาทธรรมคำสอน หลวงปู่ไพโรจน์ วิโรจโน
“.. เพราะทุกคนที่เกิดขึ้นมาแล้ว จำเป็นจะต้องจากกันไปแน่นอน จะไม่จากไม่ได้ เพราะเป็นธรรมชาติของเขา ถ้าเราคิดตรงตามความเป็นจริงแล้ว เราจะมีความสบาย นั่งสบาย นอนสบาย กินสบาย เตรียมตัวเวลาจิตเราจากร่างเมื่อไร เราไม่ต้องมาวุ่นวายแล้ว..”
“.. ความตายเป็นที่สุดของชีวิต ทุกคนไม่อยากตาย แต่ทุกคนจะต้องได้รับ ที่จริงความตายนี่ไม่น่ากลัวเลยนะ พระกรรมฐานกลัวการเกิดมากกว่าตาย ทำอย่างไรไม่ให้มันเกิดล่ะนี่ สร้างบารมี สร้างปัญญาให้มากๆ จนสามารถตัดบุญตัดบาปออกจากจิต..”
“..ไม่มีใครเหลืออยู่ได้ในโลก ไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่ตาย ตายทั้งนั้น ตายทุกคน ..”
“.. ให้นึกถึงความทุกข์ พิจารณาความทุกข์อยู่บ่อยๆ เพื่ออะไร เพื่อให้ใจของเรามันคลายออกๆ คลายออกจากอะไร คลายออกจากความมี คลายออกจากความเป็นนั่นน่ะ เมื่อมันคลายออกแล้ว กายมันก็จะเบา ใจมันก็เบา..”
ที่มา : ขอขอบคุณเพจ ท่องถิ่นธรรม พระกัมมัฏฐาน