ประวัติและปฏิปทา
พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล
วัดเลียบ
อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
◎ ชาติกําเนิดและชีวิตปฐมวัย
หลวงปู่เสาร์ ฉายา กนฺตสีโล เกิด ณ วันจันทร์ แรม ๔ ค่ํา เดือนยี่ปีระกา วันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๐๒ ที่บ้านข่าโคม ตําบลหนองซาง อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
เนื่องจากท่านเป็น พระวิปัสสนาธุระ รุ่นแรกก่อนที่จะมีการบันทึกจดจําประวัติของท่านได้ โดยละเอียดถี่ถ้วน จึงทําให้ทราบแต่เพียงชีวประวัติย่อเท่านั้น
◎ ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรมและปฏิปทา
ภายหลังที่หลวงปู่เสาร์ ท่านสละเพศฆราวาสแล้ว ท่านอุปสมบทอยู่ที่ วัดใต้ จังหวัด อุบลราชธานี ภายหลังต่อมาได้เปลี่ยนแปลงเป็นพระธรรมยุต ที่วัดศรีทอง มีพระครูทา โชติปาโล เป็นพระอุปัชฌายะ เจ้าอธิการสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์
ท่านเป็นผู้มีอัธยาศัยน้อมไปในสมาธิวิปัสนา และพอใจแนะนําสั่งสอนผู้อื่นในทางนั้นด้วย จึงเป็นผู้ใฝ่ใจในธุดงค์วัตร หนักในพระธรรมวินัย ชอบวิเวก และไม่ติดถิ่นที่อยู่ และท่านได้รับความสงบใจในการปฏิบัติเป็นอย่างมาก เพราะการปฏิบัติสมาธิเป็นชื่อแห่งความเพียรเป็นข้อปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ซึ่งไม่มีข้อปฏิบัติอื่นดียิ่งไปกว่า
หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล มีความรู้ความเข้าใจขึ้นโดยลําดับแห่งองค์ภาวนา ต่อมาท่านมีความปรารภขึ้นว่า การที่ท่านปฏิบัติภาวนาอยู่นี้ก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แต่ทางที่ดี ควรออกไปอยู่ป่าดงหาสถานที่สงบจากผู้คน จิตใจคงจะสงบลงกว่าเป็นแน่แท้ ดังนั้นท่านได้ออกธุดงค์มุ่งสู่ป่าทันทีในวันรุ่งขึ้น ความปรารถนาของท่านก็เพื่อภาวนา และพิจารณาสมาธิธรรมถ้าแม้เป็นไปจริงดังคําตั้งใจแล้ว เมื่อกลับเข้าสู่วัดท่านจะนําความรู้ที่เกิดจากจิตใจเหล่านั้นมาเผยแพร่ฝึกสอนศิษย์ที่หวัง ซึ่งความพ้นทุกข์ต่อไป
ภายหลังจากหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ไปอยู่ป่าดงฝึกจิตใจเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา จําพรรษาในท่ามกลางสิงสาราสัตว์ในหุบเขาถ้ําลึกเป็นเวลาอันสมควรท่านจึงได้ออกมาเปิดสํานักปฏิบัติธรรมในวัดเลียบ อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ในสมัยก่อนนั้น มีพระสงฆ์และฆราวาสที่สนใจกัน อย่างจริงจังไม่มากนัก ถึงกระนั้นท่านก็มิได้ลดละพยายาม ท่านตั้งอกตั้งใจในการสอนอบรมผู้สนใจในธรรมให้เกิดความรู้แจ้งแก่ผู้ปฏิบัติ เพื่อเป็นหลักยืนยันว่าการเจริญศีล สมาธิ ปัญญานี้ เป็นความสงบและสามารถทําตนให้พ้นทุกข์ได้จริง
ดังคําพระธรรมเทศนาโดยพระอาจารย์บุญเพ็ง เขมาภิรโต แสดงที่วัดถ้ํากลองเพลเมื่อ วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๓๒ เรื่อง “ปฏิปทาของพระกรรมฐาน” ตอนหนึ่งว่า…หลวงปู่เสาร์ เป็นบูรพาจารย์ของพระกรรมฐานทั้งหลาย ในภาคอีสาน แต่ก่อนพระกรรมฐานไม่ได้มีมากมายเหมือนอย่างสมัยปัจจุบันนี้ เพราะว่าไม่มีใครไปศึกษาและนําไปประพฤติปฏิบัติไม่มีใครหอบเอาความรู้จากพระไตรปิฎกมาสอนคน โดยมากสมัยก่อน เทศน์ไปตามหนังสืออ่านหนังสือให้โยมฟัง พออ่านเสร็จโยมก็สาธุ นึกว่าได้บุญแล้ว และก็พากันกลับบ้าน บางวันเทศน์ เรื่องพระโพธิสัตว์ใช้ชาติ เช่น สัญชัย ท้าวก่ำกาดํา เรื่องมโหสถ ฯลฯ ไม่ให้เอาธรรมะเข้ามาสอนใจของตัวเราเอง เพราะฉะนั้น หลวงปู่ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายนี้ ท่านเอาแต่ประพฤติปฏิบัติ รู้ธรรมแจ้งมาสอนพวกเรา
หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ท่านเจริญพรหมวิหารธรรมอยู่เป็นนิจ ถ้าจะเรียกให้สมกับ จริยาวัตรของท่านแล้ว จะกล่าวได้ว่าท่านบริสุทธิ์ด้วย กาย วาจา ใจ ล้นเปี่ยมตามคุณธรรม ท่านเจริญเดินตามทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ทุกประการ คือ มีเมตตา กรุณามุทิตา และอุเบกขา นําคณะศรัทธาทั้งหลายให้ได้เจริญ คือ ศีลสมาธิปัญญาให้ได้รู้เล่ห์เหลี่ยมของกิเลสตัณหา ที่เข้ามารบกวนรบเร้าจิตใจให้เตลิดไปต่าง ๆ เพราะท่านมีความเมตตาอันสูงสุดนี้ ท่านได้พยายามรวบรวม เขียนหนังสือไว้ ชื่อว่า จตุราลักษณ์
จตุราลักษณ์ เป็นหนังสือที่หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโลได้แสดงแต่งไว้สรุปได้ดังนี้
๑. ให้มนุษย์เราทุกคน รู้จักระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า คือให้เจริญพุทธานุสติ
๒. ให้มนุษย์เราทุกคน เมื่อเกิดมาแล้วเข้าใจตนเองว่านับถือพระพุทธศาสนาแล้ว จงให้เจริญ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นอนุสติ
๓. ให้มนุษย์เราทุกคน จงรู้ว่าเมื่อเกิดมาแล้ว จงรู้กฎของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งหนีสิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้ คือ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงให้รู้ถึงความไม่เที่ยง มีความทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนเราเขา ฉนั้นจงเจริญ อสุภานุสติ
๔. ให้มนุษย์เราทุกคน จงพิจารณากองทุกข์ นับตั้งแต่เกิดมาจนวาระสุดท้ายคือความตาย เพราะทุกคนหนีความตายไปไม่ได้ จงให้เจริญ มรณานุสติ
หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ได้พยายามเน้นให้ทุกคนเปิดจิตเปิดใจมองดูตัวเราเองให้กว้างขวางออกไป และได้ปลูกฝังศรัทธาแห่งความเชื่อในเหตุผลที่องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเจริญมาแล้ว จนสามารถสําเร็จผลหนทางแห่งความดีในที่สุดได้อย่างจริงแท้แน่นอน
◎ ธรรมโอวาท
จากหนังสือ ธรรมวิสัชนา เรื่องแนวปฏิบัติของท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ดังนี้
โดยหลักการที่ ท่านอาจารย์เสาร์ ได้อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหามานั้น ยึดหลักการบริกรรม ภาวนา พุทโธ และอานาปานสติ เป็นหลักปฏิบัติ
การบริกรรมภาวนา ให้จิตอยู่ ณ จุดเดียว คือ พุทโธ ซึ่ง พุทโธ แปลว่า ผู้รู้ผู้ตื่น ผู้ เบิกบานเป็นกิริยาของจิต เมื่อจิตมาจดจ้องอยู่ที่คําว่า พุทโธ ให้พิจารณาตามองค์ฌาน ๕
คือ การนึกถึง พุทโธ เรียกว่า วิตก
จิตอยู่กับ พุทโธ ไม่พรากจากไป เรียกว่า วิจารณ์
หลังจากนี้ ปีติ และความสุข ก็เกิดขึ้น
เมื่อปีติและความสุขเกิดขึ้นแล้ว จิตของผู้ภาวนาย่อมดําเนินสู่ความสงบ เข้าไปสู่ อุปจารสมาธิ และ อัปปนาสมาธิ
ลักษณะที่จิตเข้าสู่อัปปนาสมาธิ ภาวะจิตเป็นภาวะสงบนิ่ง สว่าง ไม่มีกิริยาอาการแสดงความรู้ ในขั้นนี้เรียกว่า จิตอยู่ในสมถะ
ถ้าจะเรียกโดยจิตก็เรียกว่า อัปปนาจิต
ถ้าเรียกโดยสมาธิเรียกว่า อัปปนาสมาธิ
ถ้าเรียกโดยฌานก็เรียกว่า อัปปนาฌาน
บางท่านนําไปเทียบกับฌานขั้นที่ ๕
จิตในขั้นนี้เรียกว่า จิตอยู่ในอัปปนาจิต อัปปนาสมาธิ อัปปนาฌาน จิตย่อมไม่มีความรู้อะไรเกิดขึ้น นอกจากมีสภาวะรู้อยู่อย่างเดียวเท่านั้น
เมื่อนักปฏิบัติผู้ที่ยังไม่ได้ระดับจิต เมื่อจิตติดอยู่ในความสงบนิ่งเช่นนี้ จิตย่อมไม่ก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนาได้
เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านอาจารย์เสาร์ ผู้เป็นอาจารย์สอนกรรมฐานในสายนี้ จึงได้เดินอุบายสอนให้ลูกศิษย์พิจารณา กายคตาสติ เรียกว่า กายานุปัสสนาปฏิปทา โดยการพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น โดยน้อมนึกไปในลักษณะความเป็นของปฏิกูลน่าเกลียด เป็นของโสโครก จนกระทั่ง จิตมีความสงบลง รู้ยิ่งเห็นจริงตามที่ได้พิจารณา
เมื่อผู้ปฏิบัติได้พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เห็นสิ่งปฏิกูล ในที่สุดได้เห็นจริงในสิ่ง นั้นว่าเป็นของปฏิกูล โดยปราศจากเจตนาสัญญาแล้ว ก็เกิดนิมิตเห็นสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นของปฏิกูล น่าเกลียดโสโครกจริง ๆ โดยปราศจากสัญญาเจตนาใด ๆ ทั้งสิ้น จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้พิจารณาเห็น อสุภกรรมฐาน
และเมื่อผู้ปฏิบัติพิจารณาอสุภกรรมฐานจนชํานิชํานาญ จนรู้ยิ่งเห็นจริงในอสุภกรรมฐานนั้นแล้ว ในขั้นต่อไปท่านอาจารย์เสาร์ได้แนะนําให้พิจารณาร่างกายให้เห็นเป็นธาตุ ๔ ธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุลม ธาตุไฟ จนกระทั่งเห็นเป็นดิน น้ํา ลม ไฟ
เมื่อจิตรู้ว่าเป็นแต่เพียงสักแต่ว่าธาตุ ๔ ดิน น้ํา ลม ไฟ จิตก็จะเกิดความรู้ขึ้นมาว่า ตามที่พูดกันว่า สัตว์ บุคคลตัวตน เรา เขา ไม่มี มีแต่ความประชุมพร้อมของธาตุ ๔ ดิน น้ํา ลม ไฟ เท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนั้น จิตก็ย่อมรู้จักอํานาจของความคิดขึ้นมาได้ว่า ในตัวของเรานี้ไม่มีอะไร อัตตา ทั้งสิ้น มีแต่ธาตุ ๔ ดิน น้ํา ลม ไฟ เท่านั้น
ถ้าหากภูมิจิตของผู้ปฏิบัติจะมองเห็นแต่เพียงกายทั้งหมดนี้ เป็นแต่เพียงธาตุ ๔ ดิน น้ํา ลม ไฟ รู้แต่เพียงว่าธาตุ ๔ ดิน น้ํา ลม ไฟ และภูมิจิตของท่านอยู่แค่นั้น ก็มีความรู้เพียงแค่ขั้น สมถกรรมฐาน
และในขณะเดียวกันนั้น ถ้าภูมิจิตของผู้ปฏิบัติปฏิบัติความรู้ไปสู่ พระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง
ถ้าหากมี อนิจจสัญญา ความสําคัญมั่นหมายว่าไม่เที่ยง ทุกขสัญญา ความสําคัญมั่นหมายว่าเป็นทุกข์ อนัตตสัญญา ความสําคัญมั่นหมายว่าไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ภูมิจิตของผู้ปฏิบัตินั้นก็ก้าวเข้าสู่ ภูมิแห่งวิปัสสนา
เมื่อผู้ปฏิบัติมาฝึกฝนอบรมจิตของตนเองให้มีความรู้ด้วยอุบายต่าง ๆ และมีความรู้แจ้งเห็นจริงในลักษณะของอสุภกรรมฐานโดยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง จนมีความรู้แจ้งเห็นจริงในลักษณะที่ว่า การเรานี้เป็นแต่เพียงธาตุ ๔ ดิน น้ํา ลม ไฟ มีความเห็นว่า ธาตุ ๔ ดิน น้ํา ลม ไฟ ก็เป็นแต่เพียงธาตุ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เรา เขา ด้วยอุบายดังกล่าวแล้ว ผู้ปฏิบัติยึดหลักอันนั้น ภาวนาบ่อย ๆ กระทําให้มากๆ พิจารณาให้มากๆ พิจารณาย้อนกลับไปกลับมาจิตจะค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่ภูมิรู้ ภูมิธรรม เป็นลําดับ ๆ ไป หลักการปฏิบัติของท่านอาจารย์เสาร์ก็มีดังนี้
◎ มัจฉิมบท
นอกจากหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล จะเป็นพระผู้ปฏิบัติดีแล้ว ท่านยังมีความเคร่งครัดทางด้านพระวินัยอย่างมาก ลูกศิษย์ทุกคนสมัยนั้น ท่านจะถือเอาวัตรปฏิบัติวิปัสสนาเป็นวิชาเอก คือ หมายถึงว่า เมื่อท่านได้อบรมแล้วแสดงพระสัทธธรรมให้เป็นที่เข้าใจแล้วท่านจะส่งเสริมลูกศิษย์ทุกรูปให้ถือข้อธุดงควัตร แยกออกจากหมู่มุ่งสู่ราวป่าดง มุ่งสู่ความแจ่มแจ้ง ในธรรมที่องค์พระบรมศาสดาทรงรับรองผล
หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล พระบุพพาจารย์แห่งยุคได้อําลาละสังขารไปด้วยอาการสงบระงับอย่างสิ้นเชิง ท่านได้อบรมสั่งสอนศิษย์ต่างก็ยอมรับว่าหลวงปู่เสาร์ กันตสีโลได้ปฏิบัติกิจเสร็จสิ้น ที่วัดมหาอํามาตยาราม นครจําปาศักดิ์ ประเทศลาว คืนวันอังคาร แรม ๓ ค่ํา เดือน ๓ ปีมะเมีย วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๔ คํานวนอายุได้ ๘๒ ปี ๖๒ พรรษา