วันพุธ, 13 พฤศจิกายน 2567

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่มหาปราโมทย์ ปราโมชฺโช วัดป่านิโครธาราม อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่มหาปราโมทย์ ปราโมชฺโช

วัดป่านิโครธาราม
ต.หมากหญ้า อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

หลวงปู่มหาปราโมทย์ ปราโมชฺโช วัดป่านิโครธาราม ต.หมากหญ้า อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
หลวงปู่มหาปราโมทย์ ปราโมชฺโช วัดป่านิโครธาราม ต.หมากหญ้า อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

๏ ชาติภูมิ
ท่านหลวงปู่มหาปราโมทย์ ปราโมชฺโช ถือกำเนิดในตระกูลวังสะจันทานนท์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๐ เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๖๖ ตรงกับวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓ ปีกุน ณ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี นามเดิมของท่านชื่อ ปราโมทย์ วังสะจันทานนท์ (หนูแดง) เป็นบุตรคนเดียวของคุณพ่อสิงห์คำ และคุณแม่ทองเพียร วังสะจันทานนท์

คุณพ่อสิงห์คำได้รับราชการทหารเป็นนายร้อยทหารบกที่จังหวัดปราจีนบุรี และสมรสกับคุณแม่ทองเพียร ที่บ้านหัวหว้า จังหวัดปราจีนบุรี หลังจากสมรสแล้ว ได้ย้ายไปอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี และได้ให้กำเนิดเด็กชายปราโมทย์ ที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นบุตรคนเดียวของคุณพ่อสิงห์คำ และคุณแม่ทองเพียร

กาลต่อมาคุณพ่อสิงห์คำได้เสียชีวิตลง คุณแม่ทองเพียร จึงได้พาเด็กชายปราโมทย์ กลับมาอยู่ที่บ้านหัวหว้าอีกครั้ง และเด็กชายปราโมทย์ ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดเกาะสมอ บ้านเกาะสมอ จังหวัดปราจีนบุรี กาลต่อมา คุณแม่ทองเพียรเกิดล้มป่วยและได้เสียชีวิตลง คุณยาย (ผุย เพ็งทอง) ได้รับอุปการะเด็กชายปราโมทย์ไว้

กาลต่อมาคุณยายผุยได้เสียชีวิตลงด้วยโรคชรา เด็กชายปราโมทย์ และเด็กชายแก้ว ดอนมอญ ได้บวชหน้าไฟให้คุณยายผุย ที่วัดหัวนา บ้านหัวหว้า จังหวัดปราจีนบุรี หลังจากเสร็จงานศพคุณยายผุย เด็กชายปราโมทย์ และเด็กชายแก้วได้ไปอาศัยอยู่กับน้า (นางคำสูรย์ สังอรดี) และได้ช่วยน้าประกอบอาชีพ คือทำนา ทำไร่ ด้วยความขยัน
เนื่องจากเด็กชายปราโมทย์ มีอุปนิสัยรักใคร่ใฝ่เรียน จึงได้ออกจากบ้านไปอยู่ที่วัดอุดมวิทยาราม (โรงเกวียน) หลังสถานีรถไฟ อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อเรียนหนังสือ แต่ต่อมาก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดอุดมวิทยาราม และย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดมะกอก อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี จากนั้นก็ได้ขาดการติดต่อกับญาติพี่น้องเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่ง ภิกษุปราโมทย์ได้ย้อนกลับมาที่บ้านหัวหว้าอีกครั้ง ทำให้ญาติพี่น้องทราบว่าท่านศึกษาเล่าเรียนจนได้เปรียญธรรมหลายประโยคเป็นภิกษุมหาปราโมทย์ ปราโมชฺโช

๏ พบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ครั้งแรก
หลวงปู่มหาโมทย์ ได้เล่าว่า ท่านได้เจริญวัยเติบโตที่บ้านหัวนา จังหวัดปราจีนบุรี มีผิวพรรณดีมาก ท่านได้ติดตามโยมพ่อไปที่จังหวัดอุบลราชธานี เพราะโยมพ่อของท่านรับราชการทหาร และในสมัยเมื่อยังเด็กนั้นเอง ท่านได้พบ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดเลียบ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี และหลวงปู่มั่นได้เป่ากระหม่อมให้ พอรุ่งเช้าโยมแม่ได้พาท่านไปใส่บาตรหลวงปู่มั่น

๏ อุปนิสัยบำเพ็ญทานเมื่อครั้งยังเด็ก
เมื่อครั้งที่มารดายังมีชีวิต เด็กชายปราโมทย์ได้ช่วยมารดาทำนาปลูกข้าว มารดาจึงได้บอกกับเด็กชายปราโมทย์ให้ไปเฝ้าข้าวในนาที่ปลูกไว้ เพื่อไม่ให้นกเข้ามากินข้าวในนา เด็กชายปราโมทย์ตอบมารดาอย่างสุภาพว่า “ให้นกมันกินแหน่ นกมันบ่ได้เฮ็ดนา” (ให้นกมันกินหน่อย นกมันไม่ได้ทำนา)

๏ จำพรรษาที่วัดป่านิโครธาราม
หลวงปู่มหาปราโมทย์ ปราโมชฺโช ได้มีโอกาสฟังเทศน์จาก หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่วัดอโศการาม ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ในขณะนั้นวัดอโศการามถือว่าเป็นศูนย์รวมกองทัพธรรม และได้ซาบซึ้งในธรรมปฏิปทาของหลวงปู่อ่อน จึงอธิษฐานจิตว่าถ้ามีโอกาสขอให้ได้ไปพักที่วัดป่านิโครธาราม และอีกครั้งหนึ่งท่านได้เดินธุดงค์ไปจำพรรษาที่วัดหลวงปู่ฝั้น อาจาโร พอดีหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ นั่งรถผ่านมาเจอท่านขณะเดินธุดงค์อยู่ริมถนน ท่านหลวงปู่อ่อน ได้ให้คนขับรถจอดรับท่านหลวงปู่มหาปราโมทย์นั่งรถไปด้วย ท่านได้ปรารภอีกครั้งหนึ่ง ถ้ามีโอกาสจะกลับไปบูรณปฏิสังขรณ์วัดป่านิโครธาราม เพราะด้วยความระลึกถึงพระคุณของหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ รวมทั้ง ได้ยินว่าที่วัดป่านิโครธารามได้สร้างพระอุโบสถสองชั้น คงจะงดงาม หลวงปู่มหาปราโมทย์ ได้มาพักจำพรรษาที่วัดป่านิโครธาราม ในครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๕๒๙

หลวงปู่มหาปราโมทย์ ปราโมชฺโช วัดป่านิโครธาราม ต.หมากหญ้า อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ (ยืน) มาเยี่ยม หลวงปู่มหาปราโมทย์ ปราโมชฺโช (นั่ง)
ที่วัดป่าห้วยน้ำริน บ้านห้วยน้ำริน ต.ขี้เหล็ก อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

หลังออกพรรษาท่านได้ออกไปเที่ยววิเวกที่วัดป่าห้วยน้ำริน ต่อมาหลวงปู่มหาปราโมทย์ ได้มาจำพรรษาที่วัดป่านิโครธารามในปี พ.ศ.๒๕๓๗ หลังจากหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ได้มรณภาพแล้ว

จนมาถึงต้นปี พ.ศ.๒๕๔๘ ในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๘ หลวงปู่ได้อาพาธหนักมาก คณะลูกศิษย์ได้นำหลวงปู่ส่งโรงพยาบาลเอกอุดร ขณะนั้นหลวงปู่มีอาการหืดหอบ ร่างกายช็อคจบเกือบหมดสติ หลวงปู่ได้พักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลเอกอุดร ที่ห้องไอ ซี ยู หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร ได้มาเยี่ยมเป็นประจำ อาการของท่านหลวงปู่ดีขึ้น จึงได้ย้ายขึ้นไปพักที่ชั้น ๗ ของโรงพยาบาลเอกอุดร และต่อมาอีกไม่กี่วันอาการของหลวงปู่ได้ทรุดหนักลงไปอีก จนได้เข้ารับรักษาอาการที่ห้อง ไอ ซี ยู อีกครั้ง ไปจนถึงวันที่ ๗ เดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๔๘ รวมอยู่รักษาอาการที่โรงพยาบาลเอกอุดร เป็นเวลา ๓๓ วัน

ต่อมาได้ย้ายหลวงปู่มาพักรักษาอาการที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี โดยอาการของหลวงปู่ทรุดหนักกว่าเดิม โดยมีอาการบวมตามร่างกาย หมอให้การรักษาจนอาการของหลวงปู่ดีขึ้น โดยสามารถพูดคุยกับพระเณร และญาติโยมที่ไปเยี่ยม ในช่วงระยะนี้สติของหลวงปู่จะดีมาก รวมเวลาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ๑๑ วัน

พอมาถึงวันที่ ๑๘ เดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๔๘ ความดันหลวงปู่มหาปราโมทย์ลดต่ำลงประมาณ ๕๓ : ๒๗ หมอได้ให้นำเกลือและเลือด พร้อมทั้งยาเพิ่มความดัน จนความดันของหลวงปู่เพิ่มสูงขึ้น แต่ไม่ถึงเกณฑ์ปกติประมาณ ๙๐ หมอให้รอดูอาการอีกประมาณ ๑ ชั่วโมง จากนั้นเห็นอาการหลวงปู่ดีขึ้น ช่วงแรกที่ความดันลดลงหลวงปู่จะไม่รับรู้อะไร มีอาการตาลอด พอความดันเพิ่มขึ้นท่านก็ยกมือขึ้นลืมตาดูได้เหมือนปกติ

หลวงปู่มหาปราโมทย์ ปราโมชฺโช วัดป่านิโครธาราม ต.หมากหญ้า อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
แถวหน้าองค์กลาง : หลวงปู่มหาปราโมทย์ ปราโมชฺโช
บันทึกภาพร่วมกับพระภิกษุสามเณร ในสมัยท่านมาพักจำพรรษา
ที่วัดป่าห้วยน้ำริน บ้านห้วยน้ำริน ต.ขี้เหล็ก อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
ก่อนจะมาละสังขารที่วัดป่านิโครธาราม จ.อุดรธานี

หลวงปู่รับรู้ดี สติดีมาก นิมนต์ท่านกลับวัดท่านก็รับ โดยให้ท่านจับมือบีบมือ นิมนต์ ๒ ครั้ง ท่านก็รับ ๒ ครั้ง จัดเตรียมสัมภาระเสร็จก็นิมนต์ท่านขึ้นรถ โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ช่วงที่อยู่ในรถท่านก็มีสติบริบูรณ์ดีทุกอย่าง พอคุยกับท่าน ท่านก็รับรู้ดีมาตลอดระยะทาง พอมาถึงวิหารปาโมชโชอนุสรณ์ ณ วัดป่านิโครธาราม ก็ได้นิมนต์ท่านพักที่เตียงพยาบาลที่เตรียมไว้ ท่านพักประมาณ ๒๐ นาที จึงได้ละสังขารลงอย่างสงบ ด้วยอาการโรคหัวใจโต ปอดติดเชื้อ ไตวาย และถุงลมโป่งพอง ณ พระวิหารปราโมชฺโชนุสรณ์ เวลา ๑๙.๒๕ นาฬิกา ระยะเวลาที่หลวงปู่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลรวม ๔๔ วัน สิริอายุรวมได้ ๘๒ พรรษา ๖๑

๏ ธรรมโอวาท หลวงปู่มหาปราโมทย์ ปาโมชฺโช

“…ธรรมอันผู้ฟังนั้นย่อมนำความงามมาให้ด้วยการฟัง เพราะคงนิวรณ์จะได้เพราะเหตุนั้น เรียกว่างามในเบื้องต้น ธรรมอันผู้ปฏิบัติอยู่ย่อมนำความงามมาให้ด้วยการปฏิบัติ เพราะนำความสุขอันเกิดแก่สมถะ และวิปัสสนามาให้ เพราะเหตุนั้นจึงว่างามในท่ามกลาง เมื่อผลแห่งการปฏิบัติโดยตรงแล้ว ย่อมนำความงามให้แก่ผู้ปฏิบัติอย่างนั้นๆ แม้ด้วยผลแห่งการปฏิบัติเพราะนำมาซึ่งความเป็นผู้คงที่ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่างามในที่สุด…”

“…นั่งภาวนาทุกวันเพื่อสั่งสมบุญกุศลนี้ พร้อมทั้งการสดับรับฟัง เพื่อให้เป็นเครื่องเชิดชูบำรุงใจของเราให้อาจหาญ ให้ตั้งใจในการสร้างบุญกุศล จะได้รู้หนทางอันประเสริฐอันพระอริยเจ้าสรรเสริญ จึงอาศัยท่านกำจัดการฟุ้งซ่าน นิวรณ์ทั้งหลายออกไป ให้ใจมันนิ่งอยู่ในอารมณ์สงบอยู่อย่างนั้น เรียกว่า เป็นการฝึกจนมันแก่กล้าเข้าแล้วก็จะมีความฉลาด มันรู้เท่าแต่มันยังไม่หมดกิเลส อย่างพระโสดายังไม่หมดกิเลส แต่รู้หลักการรู้ถ่องแท้ ว่าร่างกายไม่มีตัวตน หมดความยึดความถือ แต่มันยังไม่หมดจริง เพียงแต่รู้ว่าไม่มีสาระอะไร…”

คัดลอกจากหนังสือพระราชทานเพลิงศพฯ ประวัติปฏิปทาหลวงปู่มหาปราโมทย์ ปาโมชฺโช

ที่มา : ขอขอบคุณข้อมูลจากเพจ ท่องถิ่นธรรม พระกัมมัฏฐาน