ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่ประไพ อัคคธัมโม
วัดป่าศรีประไพวนาราม (บ้านขามเตี้ย)
อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม
หลวงปู่ประไพ อคฺคธมฺโม พระมหาเถระผู้มีธรรมเป็นเลิศ แห่งวัดป่าศรีประไพวนาราม บ้านขามเตี้ยน้อย ต.นาขมิ้น อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม หลวงปู่ประไพ อัคคธัมโม หนึ่งในพระมหาเถระรูปหนึ่งของพระกัมมัฏฐานเขตจังหวัดนครพนม ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สีลา อิสฺสโร วัดป่าอิสระธรรม จ.สกลนคร , หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร และ หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต วัดอุดมคงคาคีรีเขต (วัดดูน) อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น
หลวงปู่ประไพ อัคคธัมโม นามเดิมชื่อ ประไพ ไชยพันธุ์ เกิดวันอาทิตย์ที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๘ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๖ ปีฉลู ณ บ้านขามเตี้ยน้อย อ.ท่าอุเทน (ปัจจุบันเป็น อ.โพนสวรรค์) จ.นครพนม บิดาท่านชื่อ นายใส ไชยพันธุ์ (อดีตกำนันนาขมิ้น ภายหลังบวชในร่มกาสาวพัสตร์ มรณภาพลงเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๘ สิริอายุ ๗๙ ปี) มารดาท่านชื่อ นางสั้น แผ่นพรหม มีพี่น้องรวม ๗ คน หลวงปู่ประไพ อัคคธัมโม ท่านเป็นบุตรคนที่ ๒
หลวงปู่ประไพ ท่านเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ จากโรงเรียนบ้านขามเตี้ยใหญ่ ช่วยครอบครัวประกอบอาชีพทำนา จนถึงปี พ.ศ.๒๔๘๙ อายุ ๒๑ ปี ได้รับคัดเลือกเป็นทหารเกณฑ์รับใช้ชาติ ประจำการสังกัดกองบังคับการจังหวัดทหารบกอุดรธานี ด้วยนิสัยเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะต่อผู้หลักผู้ใหญ่ ได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชา ติดตามไปทำงานอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ เป็นเวลา ๒ ปี จนปลดประจำการใน พ.ศ.๒๔๙๑
หลวงปู่ประไพ ท่านจึงกลับบ้านเกิดช่วยครอบครัวทำนา ทำไร่ ทำสวน เช่นเกษตรกรทั่วๆ ไป และแต่งงานอยู่กินกับภรรยาสาวสวยประจำหมู่บ้าน ว่างจากงานเกษตรก็ต้องทำมาหาอาหาร นำมาเลี้ยงคนในครอบครัว มีการล่าสัตว์ ฆ่าสัตว์ เพื่อมาประกอบอาหาร เช่น หาปลา กบ เขียด ตามห้วยหนองคลองบึง
ต่อมาท่านและภรรยาล้มป่วย โดยไม่ทราบสาเหตุ เกิดทุกขเวทนาในจิตใจ ใคร่จะแสวงหาทางหลุดพ้นจากวัฏสงสาร จึงขออนุญาตภรรยาและญาติพี่น้องขอออกบวช ทุกคนต่างยินยอมเพราะเห็นความตั้้งใจของท่าน จึงเข้าอุปสมบทในปี พ.ศ.๒๔๙๒ อายุ ๒๔ ปี ณ วัดท่าดอกแก้ว ต.ท่าจำปา อ.ท่าอุเทน ในฝ่ายมหานิกาย แต่อยู่ในผ้าเหลืองแค่ปีเดียวก็ต้องลาสิกขาบท เนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพ
ท่านอยู่ในเพศฆราวาสประมาณ ๑๐ เดือน เกิดความรุ่มร้อนไม่มีความสุข มองไปทางไหนเจอแต่ความทุกข์ มีการแก่งแย่งแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นกันวุ่นวาย ท่านจึงหันหน้าเข้าโบสถ์อีกครั้ง คราวนี้ญัตติเป็นพระธรรมยุต ในวันพุธที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๕ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนยี่ ณ วัดป่าอิสระธรรม บ้านวาใหญ่ อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร อายุขณะนั้น ๒๗ ปี มี หลวงปู่สีลา อิสสโร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์อินตา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์แตงอ่อน กัลยาณธัมโม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายา “อัคคธัมโม” แปลว่า “ผู้มีธรรมเป็นเลิศ“
ท่านอยู่ปรนนิบัติและศึกษาข้อธรรมกับหลวงปู่สีลา อิสสโร พระอุปัชฌาย์ของท่าน เป็นเวลากว่า ๓ ปี ก็ขออนุญาตออกเดินธุดงค์ เพื่อแสวงหาธรรมกับพระอาจารย์รูปอื่นๆ ต่อ
การเดินธุดงค์ท่านจะยึดป่าช้าเป็นสถานที่จำวัดปักกลด กระทั่งไปจำพรรษาที่วัดป่าวิเวกธรรม อ.เมือง จ.ขอนแก่น ถึง ๓ ปี ขณะนั้นทราบข่าวว่า “หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต” เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีชื่อเสียงโด่งดังมากในจังหวัดขอนแก่น ท่านจึงเดินทางไปยัง “วัดป่าอุดมคงคาคีรีเขต” อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น เพื่อไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ศึกษาปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เป็นเวลากว่า ๖ ปี
จากนั้นหลวงปู่ประไพ จึงได้ขออนุญาตจากหลวงปู่ผาง เพื่อออกธุดงค์บำเพ็ญเพียรทางด้านจิตภาวนาแต่เพียงรูปเดียว หลวงปู่ผางท่านได้พิจารณาเล็งเห็นความเจริญก้าวหน้าในการภาวนาของหลวงปู่ไพแล้วว่า ถึงเวลาสมควรแล้ว จึงได้อนุญาตให้ไปภาวนาแต่ผู้เดียวได้ หลวงปู่ไพท่านได้เที่ยวออกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆเพื่อบำเพ็ญเพียร ทางจิตภาวนาบริเวณเทือกเขาใน จ.ขอนแก่น เพชรบูรณ์ และชัยภูมิเป็นส่วนใหญ่เป็นเวลาถึง ๑๒ ปี แล้วท่านจึงได้ย้อนกลับมายังเขต จ.นครพนม
ท่านได้เดินธุดงค์จาก จ.ชัยภูมิ จนมาถึงเขตบ้านนาดอกไม้ ต.ท่าจำปา อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม จึงได้ปักกลดบริเวณป่าดงกระแสน อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ต่อมา หลวงปู่ได้มาพบป่าไม้หนาทึบมีความอุดมสมบูรณ์ มีความสงบ วิเวก เงียบสงัดเหมาะต่อการเป็นสถานที่ประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อความเจริญทางจิตภาวนา ซึ่งบริเวณนี้เป็นดงป่าช้าประจำหมู่บ้านของชาวบ้านห้วยพระ ต.ท่าจำปา อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ท่านจึงได้ชักชวนญาติโยมเริ่มขุดลอกหนองบัวหรือหนองแสงเพื่อประโยชน์ใช้สอยร่วมกันกับชาวบ้าน และสร้างเสนาสนะเป็นที่ปฏิบัติธรรม เมื่อเห็นสมควรแล้วท่านจึงได้ลาลูกศิษย์และญาติโยมกลับไปยัง วัดอุดมคงคาคีรีเขต อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น
หลังออกจากวัดหลวงปู่ผาง ท่านธุดงค์ไปอีกหลายแห่ง ตลอดเส้นทางมีชาวบ้านกราบนมัสการให้ท่านอยู่จำพรรษาเสมอ ท่านจึงรับนิมนต์ด้วยการสร้างวัดต่างๆ มากมาย ดังนี้
๑.วัดโนนศิลา (เดิมชื่อวัดไพรศิลา) บ้านหนองหว้า ต.ช่องสามหมอ อ.ดอนสวรรค์ จ.ชัยภูมิ
๒.วัดป่าบ้านห้วยพระ จ.นครพนม
๓.วัดป่าศรีประไพวนาราม จ.นครพนม
๔.วัดป่าภูเงิน จ.นครพนม
๕.วัดป่าโนนดินแดง จ.นครพนม
๖.วัดป่าโพนบก จ.นครพนม
๗.วัดป่าขามเตี้ยใหญ่ จ.นครพนม
๘.วัดป่าอรรคธรรมาราม จ.นครพนม
๙.วัดป่าแก้วมณี จ.นครพนม
๑๐.วัดป่าศรีไพศาล จ.นครพนม
๑๑.วัดป่าเพชรประไพ จ.นครพนม
๑๒.วัดป่าห้วยหินกอง จ.นครพนม
เมื่อหลวงปู่มีอายุมากขึ้น สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ญาติโยมจึงนิมนต์ท่านไปจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าศรีประไพวนารามเป็นการถาวร เพื่อสะดวกในการดูแลอย่างใกล้ชิดจากพระอุปัฏฐาก ซึ่งในแต่ละวันจะมีลูกศิษย์ทั่วสารทิศ แวะเวียนมากราบนมัสการท่านมิขาดสาย เพราะหลวงปู่ประไพ ท่านมีนิสัยอ่อนโยน โอบอ้อมอารี มักจะสอนหลักธรรมเข้าใจง่าย มักยกเรื่องราวในสมัยพุทธกาลมาสั่งสอนเพื่อกระตุ้นในการปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น หลวงปู่ประไพ ถือเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ฉันมื้อเดียวรวมในบาตร ตามแบบครูบาอาจารย์ มีเมตตาต่อลูกศิษย์และญาติโยมเสมอมิได้ขาด หลวงปู่ท่านจะสอนเน้นอยู่เสมอว่า บาป-บุญนั้นมีจริง คนเราทำอะไรก็จะได้รับผลสิ่งนั้น ใครทำอะไรไว้ตนเองรู้ดีที่สุด เพราะฉะนั่นจะทำอะไร ให้ใช้สติเป็นตัวกำหนด ทุกวันนี้คนจะมาวัดเมื่อเกิดความทุกข์ ทุกข์จากการพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก ทุกข์จากความอยากได้อยากมี ทุกข์จากความไม่รู้จักพอ
หลวงปู่ประไพ อคฺคธมฺโม ละสังขารอย่างสงบ ตรงกับวันพุธที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๐ เวลา ๐๒.๔๕ น. สิริอายุ ๙๒ ปี ๒ เดือน ๘ วัน พรรษา ๖๔
◎ โอวาทธรรมคำสอนของหลวงปู่ประไพ อัคคธัมโม
“..ทุกอย่างในโลก รวมสมบัติแก้วแหวนเงินทอง รวมทั้งตัวคน ดินกินหมด เหลือใจอย่างเดียวดินกินไม่ได้เลย รีบถอนใจออกเสีย ไปพระนิพพาน..”
“..ย่านตายเบาะ (กลัวตายไหม?)อย่าไปย่านตาย ย่านกะตายคือเก่า ให้เซาเกิดซะ ไปพระนิพพานดีกว่า หมดเกิด หมดตาย หมดทุกข์..”
“..พระพุทธเจ้านิพพานอายุ ๘๐ ปี ธรรมะของท่านยังอยู่ ท่านไม่ได้ให้เงินทองใคร ท่านให้แต่ธรรม คนเราถ้าเข้าถึงธรรมได้ก็จะพ้นทุกข์ ท่านบวชเป็นเวลา ๖ ปี จึงได้เห็นแก่นแท้ของพระธรรม ร่างกายคนเราไม่ใช่สิ่งจีรังยั่งยืน อย่าไปยึดมั่นถือมั่น คนเกิดเพราะความหลง หยุดการเกิด สงบ สว่าง หมดกรรม หมดทุกข์..”
“..เรื่องกามเป็นเรื่องร้ายแรงเหมือนกินยาพิษ เป็นภัยมหันต์ให้เพ่งกรรมฐาน ทวารหนักเบาเป็นรูน้ำเน่าน้ำหนอง ให้นำมาพิจารณา กิเลสตัณหาจะได้จางลง..”
“..จงอย่ากลัวผี จงอย่ากลัวตาย ให้กลัวเกิด เพราะเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป..”
“..ร่างกายเป็นของปลอม อย่าไปห่วงมันเลย รีบถอน รีบทำลาย อย่าเก็บไว้ เป็นทุกข์..”
“..ร่างกายเป็นรังของโรค และเป็นอาหารของโรค มันเกิดอยู่นี่ มันกินอยู่นี่ มันกินได้แต่กาย ใจมันไม่ได้กิน ให้แยกกายแยกจิตออกเสีย..”
“..ห่วงหลายทุกข์หลาย ห่วงน้อยทุกข์น้อย บ่ห่วงเลยก็บ่ทุกข์เลย หมดทุกข์..”
“..แยกกาย แยกจิต ถอนใจจากโลก ไม่ติดในโลก เลิกหญิง เลิกชาย เลิกเกิด เลิกตาย หายโง่..”
“..คนเฮาหลงอยู่สองอย่าง หนึ่งหลงรัก สองหลงชัง ถ้าวางรักวางชังได้ก็พ้นทุกข์..”
ที่มา :ขอขอบคุณข้อมูลจากเพจ ท่องถิ่นธรรม พระกัมมัฏฐาน