วันจันทร์, 14 ตุลาคม 2567

หลวงปู่ถวิล สุจิณฺโณ วัดป่าสุจิณโณ อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น

ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่ถวิล สุจิณฺโณ

วัดป่าสุจิณโณ
อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น

หลวงปู่ถวิล สุจิณฺโณ วัดป่าสุจิณโณ (บ้านหนองเซียงซุย)
หลวงปู่ถวิล สุจิณฺโณ วัดป่าสุจิณโณ (บ้านหนองเซียงซุย)

◎ ชาติภูมิ
หลวงปู่ถวิล สุจิณฺโณ นามเดิมว่า “ถวิล” นามสกุล “ยอดแคล้ว” เกิดเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๕ ตรงกับวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือนอ้าย (เดือน ๑) ปีมะเมีย ณ บ้านหนองไฮ หรือ โพธิ์ชัย ตําบลพระลับ อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เป็นบุตรของ คุณพ่อบุญ และคุณแม่เฟีย มีพี่น้องร่วมบิดามารดารวม ๖ คน ท่านเป็นคนที่ ๒ เมื่ออายุได้ประมาณ ๘ ปี มารดาก็ถึงแก่กรรม ท่านจึงอยู่ในความดูแลของป้าตลอดมา ส่วนบิดาได้มีภรรยาใหม่มีบุตรธิดา ๔ คน ท่านจบการศึกษาภาคบังคับที่โรงเรียนประจําหมู่บ้าน ท่านได้ช่วยงานการอาชีพของครอบครัว คือทําไร่ทํานา สืบต่อมา เมื่อหมดหน้านาแล้ว ก็ทําอาชีพเสริมอื่นๆ อีก เช่น ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ปลูกผักผลไม้ ซึ่งท่านต้องหาบผักไปขาย ตลาดเมืองขอนแก่นเป็นประจํา

◎ อุปสมบท
โยมป้าเป็นผู้มีนิสัยชอบในการทําบุญเป็นประจํามิได้ขาด จะจัดแต่งสํารับและข้าวเหนียวไว้ให้หลานชายใส่บาตรที่หน้าบ้านเป็นประจํา ป้าจะบอกว่า “ถ้าเจ้าไม่ได้ใส่บาตร แม่เจ้าที่ตายไปนั้น ก็ไม่ได้กินข้าวนะ แต่ถ้าเจ้าได้ใส่บาตรนี้ ก็เหมือนกับตักข้าวใส่ปากแม่เจ้านั่นล่ะ” ทําให้มีความขยันในการทําบุญอยู่เสมอ จนอายุ ครบบวช ป้าจึงบอกว่า.. “บวชให้แม่ป้าด้วยนะลูก” ปีนั้นมีเพื่อนบวชกันหลายคน เป็นการบวชตามประเพณีที่ทําสืบต่อกันมา ท่านจึงสละเพศฆราวาสออกบวชด้วยความเต็มใจ เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๗ ณ พระอุโบสถวัดศรีจันทร์ ตําบลในเมือง อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยมี ท่านเจ้าคุณพระวินัยสุนทรเมธี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาดุสิต เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมหาปรีชา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า “สุจิณฺโณ” แปลว่า “ผู้ประพฤติดีแล้ว

หลวงปู่ถวิล สุจิณฺโณ วัดป่าสุจิณโณ (บ้านหนองเซียงซุย)
หลวงปู่ถวิล สุจิณฺโณ วัดป่าสุจิณโณ (บ้านหนองเซียงซุย)

◎ ออกธุดงค์
เมื่อบวชใหม่ๆ ได้ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติเบื้องต้นที่วัดบ้านหนองไฮ โดยมีหลวงปู่ที่เป็นเจ้าอาวาส หลวงปู่ที่เป็นพระผู้มีปฏิปทาเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ตอนกลางคืนท่านจะนําเรื่องที่น่าสนใจในข้อวัตรปฏิบัติ ประวัติหลวงปู่มั่นมาเล่าให้พระเณรฟังเสมอ ต่อมาหลวงปู่ถวิลได้ออกธุดงค์ทําความเพียรไปกับหมู่เพื่อน แต่สติยังไม่ตั้งมั่น ยังหวั่นไหว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงถามตัวเองว่า..

“อ้าว ทําไมจิตเราไม่สงบสักทีหนอ จะสงบบ้าง ก็พอเฉียดๆ เท่านั้น”

ก็ปรากฏว่า พระธรรมภายในจิตตอบ ให้รู้ว่า..

“โอหนอ เพราะเราไม่มีสัจจะอธิษฐานนี่เอง ถ้าเราไม่มีสัจจะ ก็จะไม่เกิดธรรมขึ้นได้เลย”

และในขณะนั้นทุกขเวทนาเกิดที่กายแล้วทวีความเจ็บปวดขึ้น
เมื่อมีสติสมบูรณ์จึงได้ใช้อุบายธรรม โดยตั้งสัจจะบารมีอธิษฐานจิต ด้วยใจที่เด็ดเดี่ยวเป็นสัจจะกับตนว่า..

“ข้าพเจ้าจะนอนตะแคงขวาแบบสีหไสยาสน์ แม้ว่าจะเจ็บปวดสักปานใดก็ตาม ข้าพเจ้าจะไม่ยอมลุกขึ้นโดยเด็ดขาด จะอดทนจนกว่าจะหายเจ็บปวด แม้จะตายก็ยอม”

ในที่สุดจิตก็สงบลงเริ่มคลายจากทุกขเวทนา เกิดเป็นนิมิตว่า มีเด็กน้อย ๔ คน ได้พากันวิ่งออกจากรูจมูกของท่าน นิ้วมือของเด็กเหล่านั้นดูสกปรกมากมีกลิ่นเหม็นสาบ เป็นขี้ทูตกุดฐัง มีน้ำเหลืองไหลเยิ้มออกมา ในนิมิตนั้นพวกเด็กๆ พากันขยําทําแกงขี้เหล็ก แล้วนํามาถวายหลวงปู่ กล่าวนิมนต์ท่านฉันเพลเถิด ในนิมิตนั้น ท่านตอบว่า..

“ฉันไม่ได้ดอก มือพวกเจ้าเป็นขี้ทูต ขยํามาอย่างนี้ ใครจะฉันลงคอล่ะ”

แล้วภาพนิมิตก็หายไป จิตก็ถอนออกจากความสงบ

◎ ถวายตัวเป็นศิษย์พ่อแม่ครูบาอาจารย์
พรรษาที่ ๕-๖ (ประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๑ – พ.ศ.๒๕๑๒) ได้อยู่จําพรรษากับหลวงปู่อุ้ย สุมังคโล ณ วัดป่ากลันทกาวาส (วัดป่าภูกระแต) อําเภอศรีบุญเรือง จังหวัดอุดรธานี (ปัจจุบันคือจังหวัด หนองบัวลําภู) ได้บําเพ็ญเพียรอย่างต่อเนื่อง จนเกิดความมั่นใจในมรรคผลนิพพาน หลวงปู่อุ้ย เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเคารพนับถืออย่างสุดหัวใจ

ในคราวธุดงค์กับหมู่คณะมาที่วัดป่าตาดฟ้า (เขาสวนกวาง) วัดถ้ำยาว และบ้านทมนางาม จึงได้พบกับหลวงปู่สว่าง โอภาโส ซึ่งขณะนั้นกําลังก่อสร้างพระพุทธรูปใหญ่บนภูเขา (ปี พ.ศ.๒๕๑๓) ต่อมาท่านได้จําพรรษาด้วยกัน พอถึงหน้าแล้ง หลวงปู่สว่างพาขึ้นไปวิเวกบนเขาสวนกวาง ฉันเสร็จก็ขึ้นเขา แล้วกลับลงมาบิณฑบาต ฉันที่วัด “ไม่ได้พูดคุยกันหรอก ต่างคนต่างภาวนา” ต่อมาก็วนเวียนเข้าออกมาเยี่ยมหลวงปู่สว่างอยู่เสมอ

◎ ท่องนรกภูมิ
คราวหนึ่งหลวงปู่ถวิล สุจิณโณ ได้ไปเจริญธรรมออกวิเวกเที่ยวธุดงค์กรรมฐานเจริญจิตภาวนาจนจิตสงบ กระแสจิตของท่านก็ได้ไปพบเมืองแห่งหนึ่ง เป็นเมืองที่เร่าร้อน ดุแล้วผู้คนช่างไม่มีความสุขเอาเสียเลย มองลงไปก็เห็นเป็นแต่ขุมน้ำเดือดพุ่งปุดๆๆ ผู้คนทั้งหลายได้ถูกเจ้าหน้าที่บังคับให้ได้ต้องลงไปในที่นั้น เมืองนี้เองที่ถูกขนานนามว่า..

นรกภูมิ

หลวงปู่ถวิล ได้มองดูก็ได้พบผู้หญิงคนหนึ่ง หลวงปู่จำได้ดีว่าคือ “นางเฝีย” ผู้เป็นโยมแม่ของท่าน เหตุที่มารดาของหลวงปู่ที่ต้องมาตกนรกนั้นก้เพราะโทษแห่งการสาวไหม ได้ฆ่าตัวดักแด้หลายหมื่นชีวิต หลวงปู่ได้เห็นโยมมารดาของท่านตกอยู่ในสถานการร์อันหาความสุขมิได้เช่นนั้น จึงได้บอกจ่ายมบาลว่า..

“งั้นอาตมาขอบิณฑบาตรเถอะ”

ว่าแล้วหลวงปู่ จึงได้เหาะลงไปอุ้มโยมมารดาของท่านขึ้นมาจากขุมนรกที่มีน้ำเดือดอาบทั่วร่างกายขึ้นมา พออุ้มโยมแม่ขึ้นมาจากขุมนรกแล้ว จะไปหาเสื้อผ้าที่จะมาให้โยมแม่ใส่ก็ไม่มี หลวงปู่จึงได้รำพึงว่า..
“เราเองก็เคยได้ทาน เสื้อผ้า ตั้งแต่บวชมานี่ ทานเสื้อผ้าเราก็ยังทำอยู่นะ”

“โน่นนะของท่าน ห้องที่อยู่สุดๆ นั่นแหละห้องของท่าน” เจ้าหน้าที่เมืองนรกชี้บอกหลวงปู่

เมื่อหลวงปู่ได้เดินไปตามเส้นทางจนสุดทาง ตามคำบอกของเจ้าหน้าที่เมืองนรกแล้ว ท่านก็ได้พบกับห้องหนึ่ง ประตูนั้นก็เปิดออกมา ปรากฏว่าได้มีแต่เสื้อผ้าเก่าๆ แล้วก็นำมาซักได้นำมาแจกทานให้ญาติโยมได้นุ่งห่มกัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของใดที่เคยให้ทานไว้ทั้งเสื้อผ้า นาฬิกา ในระหว่างที่หลวงปู่ได้มองไปยังห้องต่างๆ ที่ถูกจัดเป็นสัดเป็นส่วน ภายในห้องต่างๆ ก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้าสวยๆ งามๆ ที่เจ้าของอยู่ในเมืองมนุษย์ได้สร้างสมไว้ หลวงปู่จึงหยิบเอาผ้าขาวในส่วนที่เป็นของท่านส่งให้แก่ผู้เป็นมารดานุ่งห่ม

ในระหว่างที่หลวงปู่ได้ท่องไปในแดนนรกภูมินั้น ท่านได้เห็นมนุษย์ทั้งหญิงและชายเปลือยกายล่อนจ้อน ต่างพากันปีนป่ายขึ้นต้นงิ้วหนาม ครั้นวิ่งขึ้นต้นไม้ก็ถูกสับหัว อีแร้งอีกาก็คอยจิกศรีษะ พอปีนขึ้นต้นงิ้วได้สักพักต้นงิ้วก็น้อมตัวลงมา ชายหญิงเหล่านั้นก็ถูกเจ้าหน้าที่ใช้เหล็กแหลมทิ่มแทงไปตามอวัยวะต่างๆ เว้าแหว่งเลือดไหลทั้งองคชาติของผู้ชาย ส่วนผู้หญิงช่องคลอดก็ถูกสับเป็นแผลเหวอะหวะเลือดสาดไหลกระเช็นออกมาอย่างเจ็บปวดทรมาน ในจำนวนคนที่อยู่ในนั้นมีมากมาย นี่เป็นเหตุเนื่องมาจากปกติไม่ชอบผิดศีลข้อที่ ๓ ข้อกาเม สุมิจฉาจาร ขาดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในสามี ภรรยาของผู้อื่นที่มีเจ้าของแล้ว และลูกเมียผู้อื่นที่มิใช่ของตัว

◎ พํานักร่วมกับหลวงปู่สว่าง
ปี พ.ศ.๒๕๓๖ หลวงปู่อาพาธหนักด้วยโรคไส้ติ่งอักเสบอยู่ที่ถ้ำหมูบ ในเทือกเขาภูพาน เขตอําเภอเขาสวนกวาง หลวงปู่สว่างจึงได้ไปนิมนต์ท่านเข้าโรงพยาบาลเพื่อทําการรักษาด้วยการผ่าตัด ท่านจึงอนุญาตให้ทําการรักษา หลังการผ่าตัดก็ได้นิมนต์ท่านพักอยู่ที่วัดป่าศรีอุดมรัตนาราม ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
หลวงปู่ถวิลอยู่ในฐานะเป็นประมุขประธานสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่เคารพของสานุศิษย์ทั่วไป หลวงปู่สว่างเป็นเจ้าอาวาส เป็นผู้บริหารดูแลเรื่องต่างๆ ท่านทั้งสอง เป็นคู่บารมีธรรม เป็นที่พึ่งพิงอิงอาศัย ให้ความสงบสุขร่มเย็นมาโดยตลอด จวบจนหลวงปู่สว่างละสังขาร

หลวงปู่ถวิล สุจิณฺโณ วัดป่าสุจิณโณ (บ้านหนองเซียงซุย)
หลวงปู่ถวิล สุจิณฺโณ วัดป่าสุจิณโณ (บ้านหนองเซียงซุย)

◎ ความผูกพันของสองพระเถระ
ในอดีตชาติในชาติหนึ่งนั้น หลวงปู่ถวิล และหลวงปู่สว่าง ท่านเคยเกิดเป็นเพศหญิง มีอาชีพเป็นหมอลํา บ้านเกิดอยู่ที่อุบลราชธานี ในชาตินั้นหลวงปู่ถวิลมีชื่อว่า เพชร เป็นพี่สาวแท้ๆ ของหลวงปู่สว่าง ส่วนหลวงปู่สว่างมีชื่อว่า หว่าง เป็นน้องสาวของนางสาวเพชร ซึ่งเป็นหมอลําคู่กัน ออกตระเวนแสดงไปยังสถานที่ต่างๆ ด้านความสามารถนั้น นางสาวเพชรเป็นหมอลํารําเก่งกว่า ส่วนผู้เป็นน้องสาวนั้นมีความรู้ดีกว่า รับจ้างแสดงตามสถานที่ต่างๆ มาเรื่อย แล้วก็ได้มาเสียชีวิตที่บ้านทมนางามนี่เอง นี้คือบุพกรรมของท่านทั้งสอง

ด้วยเหตุนี้เองจึงทําให้หลวงปู่ถวิลและหลวงปู่สว่าง ได้มาพํานักสร้างสํานัก ณ สถานที่ที่ห่างออกไปจากตัวหมู่บ้านทมนางาม ประมาณ ๓ กิโลเมตร พัฒนาจนเป็นศาสนสถานอันเป็นแหล่งผลิตพระภิกษุ (สถานที่อุปสมบท) มากมายหลายร้อยรูป ให้ได้เจริญในพระศาสนา สร้างสมบุญกุศลใส่ตนยิ่งๆ ขึ้นไป.. ก็ด้วย บุญญาบารมีของพระเดชพระคุณท่านหลวงปู่ถวิล สุจิณโณ และท่านหลวงปู่สว่าง โอภาโส ทั้งสิ้น

หลวงปู่ถวิล สุจิณฺโณ ท่านได้ระลึกถึงชาติกําเนิดของท่าน ท่านก็ได้รู้ได้เห็นชีวิตของท่านในชาติต่างๆ ตามความเป็นจริง บางชาติที่เกิดมาสุขสบาย บางชาติก็ทุกข์ยากแสนเข็ญลําเค็ญใจ แต่ทว่าในทุกๆ ชาติที่หลวงปู่ถวิล ได้รู้แจ้งจนประจักษ์ในดวงจิต ก็คือ รู้ว่าทุกๆ ภพ ทุกๆ ชาติ ที่เกิดมาของท่านหรือของมนุษย์ทุกผู้ทุกคน ไม่มีใครหลีกหนีวัฏจักร การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากของรัก ทุกๆ คนจะต้องประสบ ไม่เว้นแม้แต่ บุคคลเดียว พึงยกเว้นแก่บุคคลประเภทเดียวคือ จิตของพระอเสขบุคคล พระอรหันต์เท่านั้น

◎ อาพาธ
หลวงปู่ถวิล สุจิณโณ ท่านเริ่มอาพาธด้วยโรคเบาวาน และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๘ หลวงปู่ถวิล ท่านได้รับการดูแลรักษาจากคณะแพทย์เป็นอย่างดีมาโดยตลอด พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์อยู่สองปี ครั้นอาการอาพาธดีขึ้นแล้ว คณะศิษย์นิมนต์หลวงปู่ไปพักรักษาธาตุขันธ์ที่วัดป่าสุจิณโณ และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตามที่คุณหมดนัดมาอย่างต่อเนื่อง

◎ การมรณภาพ
หลวงปู่ถวิล สุจิณโณ ท่านละสังขารด้วยอาการอันสงบตามกฎแห่งธรรมชาติ เมื่อวันพุธที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ เวลา ๐๔.๕๐ น. ณ วัดป่าสุจิณโณ สิริรวมอายุได้ ๗๕ ปี ๑๑ เดือน ๒๒ วัน ๕๕ พรรษา และทำพิธีถวายเพลิงสรีระสังขาร ในวันพุธที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ เวลา ๑๖.๐๐ น. ซึ่งช่วงท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น ท่านสั่งลูกศิษย์ว่า เมื่อท่านมรณภาพแล้ว ให้ทำการเผาภายในเจ็ดวัน อย่าเก็บไว้นานจะทำให้เป็นภาระแก่คณะศิษย์ การมรณภาพของ หลวงปู่ถวิล สุจิณโณ นั้น นำความอาลัยมาสู่สานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง

หลวงปู่ถวิล สุจิณฺโณ วัดป่าสุจิณโณ (บ้านหนองเซียงซุย)
รูปเหมือน หลวงปู่ถวิล สุจิณฺโณ วัดป่าสุจิณโณ (บ้านหนองเซียงซุย)

◎ โอวาทธรรมหลวงปู่ถวิณ สุจิณฺโณ
“..การมีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ หากไม่มีโรค แล้วคนย่อมประมาทในการสร้างสมความดี ไม่รู้จักทางหนีแก่เจ็บ ตาย..”

“..บุคคลผู้ที่จะเห็นจิตใจตนเอง หาได้ยาก..”

“..ตราบใดที่มีผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ผู้ปฏิบัติสมควรแก่ธรรมอยู่ ตราบนั้น โลกจะไม่ปราศจากพระอรหันต์ พระอรหันต์จะมีอยู่คู่กับโลกไปเรื่อยๆ ถ้ามีผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ คือ สุปฏิปันโน อุชุปะฏิบันโน ญายปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโน..”

คัดลอกจากหนังสือประวัติหลวงปู่สว่าง โอภาโส แสงสว่างส่องธรรม ; พิมพ์ปี ๒๕๔๘

ที่มา :ขอขอบคุณข้อมูลจากเพจ ท่องถิ่นธรรม พระกัมมัฏฐาน