วันเสาร์, 12 ตุลาคม 2567

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์

ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล

วัดบูรพาราม
อ.เมือง จ.สุรินทร์

พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) วัดบูรพาราม
พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) วัดบูรพาราม

ชาติกําเนิดและชีวิตปฐมวัย

พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) ถือกําเนิด ณ บ้านปราสาท อําเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๓๐ ตรงกับวันแรม ๒ ค่ํา เดือน ๑๑ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะนั้น พระยาสุรินทร์ฯ (ม่วง) ยังเป็นเจ้าเมืองอยู่ แต่ไปช่วยราชการอยู่จังหวัดอุบลราชธานี เนื่องจากเจ้าเมืองอุบลฯ และกรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่ต้องไปราชการทัพเพื่อปราบฮ่อ

บิดาของท่านชื่อ นายแดง มารดาชื่อ นางเงิน นามสกุล “ดีมาก” แต่เหตุที่ท่านนามสกุล ว่า “เกษมสินธุ์” นั้น ท่านเล่าว่า เมื่อท่านไปพํานักประจําอยู่ที่วัดสุทัศนาราม จังหวัดอุบลราชธานีเป็นเวลานาน มีหลานชายคนหนึ่ง ชื่อพร้อม ไปอยู่ด้วยท่านจึงตั้งนามสกุลให้ว่า “เกษมสินธุ์” ตั้งแต่นั้นมาท่านก็เลยใช้นามสกุลว่า “เกษมสินธุ์” ไปด้วย

ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๕ คนด้วยกัน คือ

คนแรก เป็นหญิง ชื่อ กลิ้ง

คนที่ ๒ เป็นชาย ชื่อ ดุลย์ (คือ ตัวท่าน)

คนที่ ๓ เป็นชาย ชื่อ แดน

คนที่ ๔ เป็นหญิง ชื่อ รัตน์

คนที่ ๕ เป็นหญิง ชื่อ ทอง

พี่น้องของท่านต่างพากันดํารงชีวิตไปตามอัตตภาพตราบเท่าวัยชรา และได้ถึงแก่กรรมไปก่อนที่จะมีอายุถึง ๗๐ ปีทั้งหมด หลวงปู่ผู้เดียวที่ครองอัตภาพมาได้ยาวนานถึง ๙๖ ปี

ชีวิตของหลวงปู่เมื่อแรกรุ่นเจริญวัยนั้น ก็ถูกกําหนดให้อยู่ในกฎเกณฑ์ของสังคมสมัยนั้น แม้ท่านจะเป็นลูกคนที่สอง แต่ก็เป็นบุตรชายคนโต ดังนั้นท่านจึงต้องมีภารกิจมากกว่าเป็นธรรมดา

โดยต้องทํางานทั้งในบ้านและนอกบ้านงานในบ้าน เช่น ตักน้ํา ตําข้าว หุงหาอาหาร และเลี้ยงดูน้อง ๆ ซึ่งมีหลายคน งานนอกบ้านเช่นช่วยแบ่งเบาภาระของบิดาในการดูแลบํารุงเรือกสวนไร่นา และเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย เป็นต้น

พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) วัดบูรพาราม

ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา

แม้ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใครๆ ก็ต้องรู้สึกว่าน่าเพลิดเพลินและน่าลุ่มหลงอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะอยู่ในวัยกําลังงามแล้ว ยังเป็นนักแสดงที่มีผู้นิยมชมชอบมากอีกด้วย ถึงกระนั้น หลวงปู่ก็มิได้หลงใหลในสิ่งเหล่านั้นเลย ตรงกันข้ามท่านกลับมีอุปนิสัยโน้มเอียงไปทางเนกขัมมะ คือ อยากออกบวชจึงพยายามขออนุญาตจากบิดามารดา และท่านผู้มีพระคุณที่มีเมตตาชุบเลี้ยง แต่ก็ถูกท่านเหล่านั้นคัดค้านเรื่อยมา โดยเฉพาะฝ่ายบิดามารดาไม่อยากให้บวช เนื่องจากขาดกําลัง ทางบ้านไม่มีใครช่วยเป็นกําลังสําคัญในครอบครัว ทั้งท่านก็เป็นบุตรชายคนโตด้วย

แต่ในที่สุด บิดามารดาก็ไม่อาจขัดขวางความตั้งใจจริงของท่านได้ ต้องอนุญาตให้บวชได้ ตามความปรารถนาที่แน่วแน่ไม่คลอนแคลนของท่าน พร้อมกับมีเสียงสําทับจากบิดาว่าเมื่อบวชแล้ว ต้องไม่สึกหรืออย่างน้อยต้องอยู่จนได้เป็นเจ้าอาวาส ทั้งนี้เนื่องจากปู่ของท่านเคยบวชและได้เป็นเจ้าอาวาสมาแล้ว และคงเป็นเพราะเหตุนี้ด้วยกระมังท่านจึงมีอุปนิสัย รักบุญ เกรงกลัวบาป มิได้เพลิดเพลินคึกคะนองไปในวัยหนุ่มเหมือนบุคคลอื่น

ครั้นเมื่อได้รับอนุญาตจากบิดามารดาเรียบร้อยแล้วอย่างนี้ ท่านจึงได้ละฆราวาสวิสัยย่างเข้าสู่ความเป็นสมณะตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๕๒ เมื่อท่านมีอายุได้ ๒๒ ปี โดยมีพวกตระกูลเจ้าของเมืองที่ เคยชุบเลี้ยงท่าน เป็นผู้จัดแจงในเรื่องการบวชให้ครบถ้วนทุกอย่าง ท่านได้บรรพชาอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดชุมพลสุทธาวาส ในเมืองสุรินทร์ โดยมี

พระครูวิมลสีลพรต (ทอง) เป็น พระอุปัชฌาย์

พระครูบึก เป็น พระกรรมวาจาจารย์

พระครูฤทธิ์ เป็น พระอนุสาวนาจารย์

เมื่อแรกบวช ก็ได้ปฏิบัติกัมมัฏฐานกับหลวงพ่อแอกวัดคอโค ซึ่งอยู่ชานเมืองสุรินทร์ วิธีการเจริญกัมมัฏฐานในสมัยนั้น ก็ไม่มีวิธีอะไรมากมายนัก วิชาที่หลวงพ่อแอกสอนในสมัยนั้น คือ จุดเทียนขึ้นมา ๕ เล่ม แล้วนั่งบริกรรมว่า “ขออัญเชิญปีติทั้ง ๕ จงมาหาเรา” ดังนี้เท่านั้น แต่หลวงปู่ดุลย์ก็พากเพียรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ด้วยความวิริยะอุตสาหะอย่างแรงกล้า พยายามบริกรรมเรื่อยมาจนครบไตรมาสโดยไม่ลดละ แต่ก็ไม่ปรากฎเห็นผลอันใดแม้เล็กน้อย

นอกจากนี้ยังได้ฝึกฝนทรมานร่างกายเพื่อเผาผลาญกิเลส ด้วยความเข้มงวดกวดขันการขบ ฉันอาหาร วันก่อนเคยฉัน ๗ คํา ก็ลดเหลือ ๖ คํา แล้วลดลงไปอีกตามลําดับจนกระทั่งร่างกายซูบผอมโซเซ สู้ไม่ไหว จึงหันมาฉันอาหารตามเดิม ระยะนั้นก็ไม่ปรากฎเห็นผลอันใดแม้เล็กน้อย

(ซ้าย) หลวงปู่ขาว อนาลโย (ขวา) หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม

นอกจากนี้ก็ใช้เวลาที่เหลือท่องบ่นเจ็ดตํานานบ้าง สิบสองตํานานบ้าง แต่ไม่ได้ศึกษาพระวินัยเลย เรื่องวินัยที่จะนํามาประพฤติปฏิบัติขัดเกลากาย, วาจา เพื่อเป็นรากฐานของสมาธิภาวนานั้น ท่านไม่ทราบ มิหนําซ้ํา ระหว่างที่อยู่วัดดังกล่าว พระในวัดนั้นยังใช้ให้ท่านสร้างเกวียน และเลี้ยงโคอีกด้วย ท่านจึงเกิดความสลดสังเวช และเบื่อหน่ายเป็นกําลัง แต่ก็อยู่มาจนกระทั่งได้ ๖ พรรษา

เมื่อทราบข่าวว่า ที่จังหวัดอุบลราชธานี่มีการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม ก็เกิดความยินดีล้นพ้น รีบเข้าไปขออนุญาตท่านพระครูวิมลศีลพรต ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์เพื่อไปศึกษา แต่ก็ถูกคัดค้านกลับมา ท่านมิได้ลดละความพยายามไปขออยู่เรื่อย ๆ จนกระทั่งพระอุปัชฌาย์เห็นว่าท่านมีความตั้งใจจริง จึงอนุญาตให้ไปได้โดยมีครูคงและครูดิษฐ์ไปเป็นเพื่อน

เมื่อแรกไปถึงจังหวัดอุบลฯ นั้น เขาไม่อาจรับท่านให้พํานักอยู่ที่วัดธรรมยุตได้เพราะต่างนิกายกัน แม้จะอนุมัติให้เข้าเรียนได้ก็ตาม ดังนั้นท่านจึงต้องไปอยู่วัดหลวงซึ่งการบิณฑบาตเป็นไปได้ยากเสียเหลือเกิน พอดีหลวงพี่มนัส ซึ่งเดินทางไปเรียนก่อน ได้แวะไปเยี่ยมทราบความเข้า จึงพาท่านไปฝากอยู่อาศัยพร้อมทั้งศึกษาพระปริยัติธรรมไปด้วยที่วัดสุทัศนาราม แต่เนื่องจากวัดนี้เป็นวัดฝ่ายสงฆ์ธรรมยุตจึงไม่อาจให้ท่านอยู่ที่วัดได้ด้วยเหตุผลที่น่าฟังว่ามิได้รังเกียจ แต่เกรงจะเกิดผลกระทบต่อความเข้าใจอันดีระหว่างผู้บริหารการคณะสงฆ์ของนิกายทั้งสอง

พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) วัดบูรพาราม

อย่างไรก็ดี ด้วยเมตตาธรรม ทางวัดสุทัศน์ ได้แสดงความเอื้อเฟื้อด้วยวิธีการอันแยบคาย โดยรับให้ท่านพํานักอยู่ได้ในฐานะพระอาคันตุกะผู้มาเยี่ยมเยือน แต่อยู่นานหน่อยความเป็นอยู่ของท่านจึงค่อยกระเตื้องขึ้น คือเป็นไปได้สะดวกบ้าง

ท่านพยายามมุนานะศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมอย่างเต็มสติกําลัง จนกระทั่งประสบผลสําเร็จ คือ สามารถสอบไล่ได้ประกาศนียบัตรนักธรรมชั้นตรี นวกภูมิ เป็นรุ่นแรกของจังหวัด อุบลราชธานี และยังได้เรียนบาลีไวยากรณ์ (มูลกัจจายน์) จนสามารถแปลพระธรรมบทได้ นับว่าท่านได้บรรลุปณิธานที่ได้ตั้งไว้ ในการจากบ้านเกิดเมืองนอนไปศึกษาต่อ ณ ต่างแดนแล้ว ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะการคมนาคมระหว่าง สุรินทร์-อุบลฯ ในสมัยนั้นเป็นไปโดยยากจนนับได้ว่าเป็นต่าง แดนจริงๆ

ต่อมาท่านได้พยายามอย่างยิ่งที่จะญัตติจากนิกายเดิมมา เป็นธรรมยุตติกนิกาย แต่ทางคณะสงฆ์ธรรมยุต โดยเฉพาะ พระธรรมปาโมกข์ (ติสโส อ้วน) เจ้าคณะมณฑลในขณะนั้น ซึ่งเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ พระนักบริหารผู้มีสายตาไกลและจิตใจกว้างขวาง ได้ให้ความเห็นว่า “อยากจะให้ท่านศึกษาเล่าเรียนไปก่อนไม่ต้องญัตติ เนื่องจากทางคณะสงฆ์ธรรมยุตมีนโยบายจะให้ท่านกลับไปพัฒนาการศึกษาพระปริยัติธรรมที่จังหวัดสุรินทร์บ้านเกิดของท่านให้เจริญรุ่งเรือง เพราะถ้าหากญัตติแล้วเมื่อท่านกลับไปสุรินทร์ท่านจะต้องอยู่โดดเดี่ยว เนื่องจากในสมัยนั้น ยังไม่มีวัดฝ่ายธรรมยุตที่จังหวัดสุรินทร์เลย”

แต่ตามความตั้งใจของท่านเองนั้น มิได้มีความประสงค์จะกลับไปสอนพระปริยัติธรรม จึงได้พยายามขอญัตติต่อไปอีก

ในกาลต่อมา นับว่าเป็นโชคของท่านก็ว่าได้ ท่านมีโอกาสได้คุ้นเคยกับ ท่านอาจารย์สิงห์ ขนตยาคโม ท่านรับราชการครู ทั้งที่ยังเป็นพระสงฆ์อยู่ในขณะนั้นที่วัดสุทัศน์ จังหวัดอุบลฯ ท่านอาจารย์สิงห์ได้ชอบอัธยาศัยไมตรีของหลวงปู่ดุลย์ และเห็นปฏิปทาในการศึกษาเล่าเรียน พร้อมทั้งการประพฤติปฏิบัติกิจในพระศาสนาของท่าน ว่าเป็นไปด้วยความตั้งใจจริง ท่านอาจารย์สิงห์ จึงได้ช่วยเหลือท่านในการขอญัตติ จนกระทั่งประสบผลสําเร็จ

ดังนั้น ใน พ.ศ.๒๔๖๑ ขณะเมื่ออายุ ๓๑ ปี ท่านจึงได้ญัตติจากนิกายเดิมมาเป็นพระภิกษุในธรรมยุตติกนิกาย ณ พัทธสีมาวัดสุทัศน์ฯ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี

พระมหารัฐ เป็นพระอุปัชฌาย์

พระศาสนดิลก เจ้าคณะมณฑลอุดร เป็นพระกรรมวาจาจารย์

ถ้าหากจะนับระยะเวลาที่ท่านไปอยู่ที่วัดสุทัศน์ในฐานะพระอาคันตุกะ จนกระทั่งได้รับเมตตาอนุญาตให้ได้ญัตติก็เป็นเวลานานถึง ๔ ปี รวมเวลาที่ดํารงอยู่ในภาวะของนิกายเดิมก็เป็นเวลา นานถึง ๑๐ ปี

จากการที่ได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมและพิจารณาข้อธรรมะเหล่านั้นจนแตกฉานช่ำชองพอสมควรแล้ว ก็เห็นว่าการเรียนปริยัติธรรมอย่างเดียวนั้นเป็นแต่เพียงการจําหัวข้อธรรมะได้เท่านั้น ส่วนการปฏิบัติให้ได้ผลและได้รู้รสพระธรรมอย่างซาบซึ้งนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จึงบังเกิดความเบื่อหน่ายและท้อถอยในการเรียนพระปริยัติธรรมและมีความสนใจโน้มเอียงไปในทางปฏิบัติธรรม ทางธุดงค์กัมมัฏฐานอย่างแน่วแน่

นับว่าเป็นบุญลาภของหลวงปู่ดุลย์อย่างประเสริฐ ที่ในพรรษานั้นเองท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ พระปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ฝ่ายอรัญญวาสี ได้เดินทางกลับจากธุดงค์กัมมัฏฐาน มาพํานักจําพรรษาอยู่ที่ วัดบูรพา จังหวัดอุบลราชธานี ข่าวที่พระอาจารย์มั่น มาจําพรรษาที่วัดบูรพานั้นเลื่องลือไปทุกทิศทาง ทําให้ภิกษุสามเณรบรรดาศิษย์ และประชาชนแตกตื่นฟื้นตัวพากันไปฟังพระธรรม เทศนาของพระอาจารย์มั่น

หลวงปู่ดุลย์กับอาจารย์สิงห์ ๒ สหายก็ไม่เคยล้าหลังเพื่อนในเรื่องเช่นนี้ พากันไปฟัง ธรรมเทศนาของพระอาจารย์มั่นกันเป็นประจําไม่ขาดแม้สักครั้งเดียว นอกจากได้ฟังธรรมะแปลกๆ ที่สมบูรณ์ด้วยอรรถพยัญชนะ มีความหมายลึกซึ้งและรัดกุมกว้างขวาง ยังได้มีโอกาสเฝ้าสังเกตปฏิปทาของท่านพระอาจารย์มั่น ที่งดงามน่าเลื่อมใสทุกอิริยาบถอีกด้วย ทําให้เกิดความซาบซึ้งถึงใจ คําพูดแต่ละคํามีวินัยแปลกดี ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน จึงเพิ่มความสนใจใคร่ประพฤติปฏิบัติ ทางธุดงค์กัมมัฏฐานมากยิ่งขึ้นทุกที ฯ

พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) วัดบูรพาราม

ครั้นออกพรรษาแล้วท่านอาจารย์มั่นได้ออกธุดงค์อีก ภิกษุ ๒ รูป คือ พระอาจารย์สิงห์ ขนุตยาคโม กับ หลวงปู่ดุลย์ จึงตัดสินใจสละทิ้งการสอนการเรียน ออกธุดงค์ติดตามพระอาจารย์มั่น ไปทุกแห่ง จนตลอดฤดูกาลนอกพรรษานั้น

ตามธรรมเนียมธุดงค์กัมมัฎฐานของพระอาจารย์มั่นมีอยู่ว่า เมื่อถึงกาลเข้าพรรษาไม่ให้จําพรรษารวมกันมากเกินไป ให้แยกกันไปจําพรรษาตามสถานที่อันวิเวก ไม่ว่าจะเป็นวัดเป็นป่า เป็นถ้ํา เป็นเขา โคนไม้ ป่าช้า ลอมฟาง เรือนว่าง หรืออะไรตามอัธยาศัยของแต่ละบุคคล แต่ละคณะ

เมื่อออกพรรษาแล้ว หากทราบข่าวว่าพระอาจารย์มั่นอยู่ ณ ที่ใดพระสงฆ์ก็พากันไปจากทุกทิศทุกทางมุ่งไปยัง ณ ที่นั้นเพื่อเรียนพระกัมมัฏฐานและเล่าแจ้งถึงผลการประพฤติปฏิบัติที่ผ่านมา เมื่อมีอันใดผิดพระอาจารย์จักได้ช่วยแนะนําแก้ไข อันใดถูกต้องดีแล้วท่านจักได้แนะนําข้อกัมมัฏฐานยิ่ง ๆ ขึ้นไป

ดังนั้น เมื่อจวนจะถึงกาลเข้าปุริมพรรษา คือ พรรษาแรกแห่งการธุดงค์ของท่าน คณะหลวงปู่ดุลย์ จึงพากันแยกจากท่านพระอาจารย์มั่น เดินธุดงค์ผ่านไปทางอําเภอท่าคันโท จังหวัดกาฬสินธุ์ ครั้นถึงป่าท่าคันโท ก็สมมติทําเป็นสํานักวัดป่า เข้าพรรษาด้วยกัน ๕ รูป คือ

ท่านพระอาจารย์สิงห์

ท่านพระอาจารย์บุญ

ท่านพระอาจารย์สีทา

ท่านพระอาจารย์หนู

ท่านพระอาจารย์ดุลย์ อตุโล (คือ ตัวหลวงปู่เอง)

ทุกท่านปฏิบัติตนปรารภความเพียรอย่างอุกฤษฎีแรงกล้า ปฏิบัติตามคําอบรมสั่งสอนของท่านปรมาจารย์อย่างสุดขีด ครั้งนั้นบริเวณแห่งนั้นเป็นสถานที่ทุรกันดาร เกลื่อนกล่นไปด้วยสัตว์ป่า ที่ดุร้าย ไข้ป่าก็ชุกชุมมาก ยากที่จะดํารงชีวิตอยู่ได้

ดังนั้นยังไม่ทันถึงครึ่งพรรษาก็ปรากฏว่า อาพาธเป็นไข้ป่ากันหมด ยกเว้นท่านอาจารย์หนูองค์เดียว ต่างก็ได้ช่วยรับใช้พยาบาลกันตามมีตามเกิด หยูกยาที่จะนํามาเยียวยารักษากันก็ไม่มี ความป่วยไข้เล่าก็ไม่ยอมลดละ จนกระทั่งองค์หนึ่งถึงแก่มรณภาพลงในกลางพรรษานั้น ต่อหน้าต่อตาเพื่อสหธรรมิกอย่างน่าเวทนา

สําหรับท่านหลวงปู่ดุลย์ ครั้นได้สําเหนียกรู้ว่ามฤตยูกําลังคุกคามอย่างแรงทั้งหยูกยาที่จะ นํามารักษาพยาบาลก็ไม่มี จึงตักเตือนตนว่า

“ถึงอย่างไร ตัวเราจักไม่พ้นเงื้อมมือของความตาย ในพรรษานี้เป็นแน่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้นเราจักตาย ก็จงตายในสมาธิภาวนาเถิด”

จึงปรารภ ความเพียรอย่างเอาเป็นเอาตาย ตั้งสติให้สมบูรณ์พยายามดํารงจิตให้อยู่ในสมาธิอย่างมั่นคงทุก อริยาบถ พร้อมทั้งพิจารณาความตาย คือ มีมรณัสสติกัมมัฏฐานเป็นอารมณ์ไปด้วยโดยไม่ย่อท้อ พรั่นพรึ่งต่อมรณภัยที่กําลังคุกคามจะมาถึงตัวในไม่ช้านี้เลย

ณ ป่าท่าคันโท จังหวัดกาฬสินธุ์นี้เอง การปฏิบัติทางจิตที่หลวงปู่ดุลย์พากเพียรบําเพ็ญอยู่อย่างไม่ลดละ ก็ได้บังเกิดผลอย่างเต็มภาคภูมิ กล่าวคือ ขณะที่นั่งภาวนาอยู่ตั้งแต่หัวค่ําจนดึกมากนั้น จิตก็ค่อย ๆ หยั่งลงสู่ความสงบและให้บังเกิดนิมิตขึ้นมา คือ เห็นพระพุทธรูปปรากฏขึ้นที่ตัวของท่าน ประหนึ่งว่าตัวของท่านเป็นพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ท่านพยายามพิจารณารูปนิมิตต่อไปอีก แม้ขณะที่ออกจากที่บําเพ็ญสมาธิภาวนาแล้วและขณะออกเดินไปสู่ละแวกบ้านป่า เพื่อบิณฑบาต ก็เห็นปรากฏอยู่เช่นนั้น

วันต่อมาอีกก่อนที่รูปนิมิตจะหายไป ขณะที่เดินกลับจากบิณฑบาต ท่านได้พิจารณาดูตนเอง ก็ได้ปรากฎเห็นชัดเจนว่า เป็นโครงกระดูกทุกส่วนสัด วันนั้นจึงเกิดความรู้สึกไม่อยากฉันอาหาร จึงอาศัยความเอิบอิ่มใจของสมาธิจิตกระทําความเพียรต่อไป เช่น เดินจงกรมบ้าง นั่งสมาธิบ้าง ตลอดวันตลอดคืน และแล้วในขณะนั้นเองแสงแห่งพระธรรมก็บังเกิดขึ้น ปรากฏแก่จิตของท่านอย่างแจ่มแจ้ง จนกระทั่งท่านสามารถแยกจิตกับกิเลสออกจากกันได้

รู้ชัดว่าอะไรคือจิต อะไรคือกิเลส จิตปรุงกิเลสหรือกิเลสปรุงจิต และเข้าใจสภาพเดิมของจิตที่แท้จริงได้จนรู้กิเลสส่วนไหนละได้แล้ว ส่วนไหนยังละไม่ได้ ดังนี้ หลวงปู่เป็นผู้งดงามด้วยสมณวิสัย และปฏิปทา ของท่านคือ

๑. บําเพ็ญเพียรภาวนาเป็นปกติไม่ขาดสาย ไม่เคยขาดตกบกพร่อง กลางคืนจะพักผ่อนเพียง ๒ ชั่วโมงเท่านั้น

๒. ฉันมื้อเดียวตลอดมา เว้นแต่เมื่อมีกิจนิมนต์จึงฉัน ๒ มื้อ

๓. มีความเป็นอยู่ง่าย เมื่อขาดไม่ดิ้นรนแสวงหา เมื่อมีไม่สั่งสม เป็นอยู่ตามมีตามเกิด เจริญด้วยยถาลาภสันโดษ (คือสันโดษ ได้อย่างไร บริโภคอย่างนั้น)

๔. มีสัจจะ พูดอย่างไรต้องทําอย่างนั้น มีความตั้งใจจริง จะทําอะไรแล้วต้องทําจนสําเร็จ

๕. สัลลหูกวุตติ เป็นผู้มีความประพฤติเบากาย เบาใจ คือ เป็นผู้คล่องแคล่วว่องไว เดิน ตัวตรงและเร็ว แม้เวลาตื่นนอนพอรู้สึกตัวท่านจะลุกขึ้นทันที เหมือนคนที่พร้อมอยู่ตลอดเวลา

๖. นิยมการทําตัวง่าย ๆ สบาย ๆ ไม่มีพิธีรีตอง มักตําหนิผู้ที่เจ้าบทบาทมากเกินควร ๒. การปฏิสันถาร ท่านปฏิบัติเป็นเยี่ยมตลอดมา

หลวงปู่เป็นผู้มีอุปนิสัยเยือกเย็น พูดน้อย สงบ อยู่เป็นนิตย์ มีวรรณผ่องใส ท่านรักความสงบจิตใจใฝ่ในความวิเวกมาก จะเห็นได้ว่าท่านชอบสวดมนต์บท “อะรัญเญ รุกขะมูเล วา สุญญาคาเร วะ ภิกขะโว ” มาก

พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) วัดบูรพาราม

ธรรมโอวาท

สําหรับหลวงปู่นั้น ท่านเล่าว่าได้ตริตรองพิจารณาตามหัวข้อกัมมัฏฐานว่า “สพฺเพ สงฺขารา สพฺพ สญฺญา อนตฺตา” ที่ท่านพระอาจารย์มั่นให้มา ในเวลาต่อมาก็เกิดความสว่างไสวในใจชัดว่า เมื่อสังขารขันธ์ดับได้แล้ว ความเป็นตัวตนจักมีไม่ได้ เพราะไม่ได้เข้าไปเพื่อปรุงแต่ง ครั้นความปรุงแต่งขาดไป ความทุกข์จะเกิดขึ้นอย่างไร และจับใจความอริยสัจจแห่งจิตได้ว่า

๑. จิตที่ส่งออกนอก เพื่อรับสนองอารมณ์ทั้งสิ้น เป็นสมุทัย

๒. ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอกแล้วหวั่นไหว เป็นทุกข์

๓. จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค

๔. ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ

แล้วท่านเล่าว่า เมื่อทําความเข้าใจในอริยสัจทั้ง ๔ ได้ดังนี้แล้ว ก็ได้พิจารณาทําความเข้าใจ ใน ปฏิจจสมุปบาท ได้ตลอดทั้งสาย

คติธรรม ที่ท่านสอนอยู่เสมอ คือ

“อย่าส่งจิตออกนอก”

“จงหยุดคิดให้ได้”

“คิดเท่าไหร่ ก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิดให้ได้จึงรู้ แต่ก็ต้องอาศัยความคิด นั่นแหละจึงรู้”

“คนในโลกนี้ต้องมีสิ่งที่มี เพื่ออาศัยสิ่งนั้นเป็นผู้ปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติถึงสิ่งที่ไม่มี และอยู่กับสิ่งที่ไม่มี”

ปัจฉิมบท

สังขารธรรมหนึ่งอุบัติขึ้นเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ ณ บ้านปราสาท ตําบลเฉลียง อําเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ได้เจริญเติบโตและรุ่งเรืองมาโดยลําดับตามวัย ได้ดําเนินชีวิตอย่างถูกต้อง ดีงามอยู่ภายใต้ผ้ากาสาวพัสตร์เป็นเวลานานถึง ๖๕ พรรษา ท่านประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่าง ที่ดีงามของชาวพุทธตลอดเวลา เป็นเนื้อนาบุญของโลก ท่านเป็นพุทธสาวกอย่างแท้จริง ได้บําเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่นอย่างสมบูรณ์บริบูรณ์

บัดนี้สังขารขันธ์นั้นได้ดับลงแล้ว ตามสภาวธรรม เมื่อ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๖

แม้ว่า หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ได้สละทิ้งร่างกายไปแล้ว แต่เมตตาธรรมที่ท่านได้ประสาทไว้แก่ สานุศิษย์ทั้งหลาย ยังเหลืออยู่ คุณธรรมดังกล่าวยังคงประทับอยู่ในจิตใจของทุก ๆ คนไม่ลืมเลือน