วันเสาร์, 12 ตุลาคม 2567

หลวงตาม้า วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

ประวัติและปฏิปทา หลวงตาม้า (พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร) วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า)

พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า) กำเนิดเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๗ ณ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร ในสกุล สุวรรณคุณ

บิดาชื่อวันดี มารดาชื่อโสภา เป็นบุตรคนที่ ๒ ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด ๓ คน โดยเมื่อหลวงตาเกิดมานั้น คุณแม่ได้นำท่านไปฝากให้คุณยายเลี้ยง ทำให้ท่านได้มีโอกาสคุ้นเคยกับการเข้าวัดอยู่เสมอมาตั้งแต่เล็ก หลวงตาเล่าว่า ในสมัยยังเด็กนั้น ท่านเคยไปร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พ่อแม่ครูบาอาจารย์ใหญ่แห่งสายพระป่าด้วย ซึ่งในงานนั้นท่านได้มีโอกาสพบเห็นพระธุดงค์สายพระป่าผู้มีปฏิปทาจริยวัตรงดงามเรียบร้อยมาร่วมงานอย่างมากมาย

หลวงตาม้า สมัยเป็นฆราวาส

ร่วมรบในสงครามเวียดนาม

ในช่วงที่เกิดสงครามเวียดนามขึ้นนั้น หลวงตาได้มีโอกาสไปร่วมรบในสงครามเวียดนามด้วย โดยได้ร่วมรบอยู่เป็นเวลานานถึง ๑ ปีเต็ม ซึ่งในตอนที่เป็นทหารอยู่นั้น หลวงตาเล่าว่า ท่านได้เก็บพระหลวงปู่ทวดเนื้อว่านรุ่นแรกปี ๒๔๙๗ ได้โดยบังเอิญในบริเวณสนามรบโดยไม่รู้ว่าเป็นของใคร ท่านจึงนำมาพกติดตัวไว้ในกระเป๋าเรื่อยมา แต่หลังจากสงครามสงบแล้ว พระองค์นั้นก็ไม่รู้ว่าได้ตกหายไปที่ใด ในขณะที่ร่วมรบอยู่นั้น หลวงตาได้ประสบภัยจากสงครามด้วย โดยท่านโดนสะเก็ดระเบิดกระเด็นฝังเข้าที่หลังของท่านอย่างจัง แต่กลับไม่เป็นอะไรมาก เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์บอกว่าถ้าแผลไม่อักเสบก็ไม่จำเป็นต้องผ่าออก ซึ่งแผลนั้นก็ไม่มีอาการอักเสบแต่อย่างใด กลางแผ่นหลังของหลวงตาจึงมีสะเก็ดระเบิดฝังอยู่เป็นอนุสรณ์จากการร่วมรบนับแต่นั้นเป็นต้นมา โดยหลวงตาได้เล่าให้ฟังว่า ในภายหลังเมื่อท่านได้พบกับหลวงปู่ดู่แล้ว หลวงปู่ได้เมตตาอธิษฐานจิตให้สะเก็ดระเบิดที่ฝังอยู่กลางหลังนั้นกลายเป็นพระไปเรียบร้อยแล้ว

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญวัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา

พบหลวงปู่ดู่ ศึกษากระแสพลังเหนือพลัง

ต่อมาหลวงตาม้า ได้เข้ามาอยู่ที่กรุงเทพฯ โดยเข้ามาเป็นเด็กวัดอยู่ที่วัดเบญจมบพิตรคณะ ๑๑ จากนั้นท่านจึงได้เข้าทำงานอยู่ที่ธนาคารกสิกรไทยสำนักงานใหญ่ (บริเวณซอยอารีย์) และในช่วงที่ทำงานอยู่นี้เองเพื่อนคนหนึ่งของท่านได้ไปบวชที่วัดสะแก ท่านจึงได้ตามไปงานบวชของเพื่อนและได้พบกับหลวงปู่ดู่เป็นครั้งแรกเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๙-๒๕๒o ครั้งแรกที่หลวงตาได้พบหลวงปู่ดู่นั้น หลวงปู่ได้มอบพระให้ท่าน ๑ องค์ เพื่อนำไปใช้กำไว้ขณะทำสมาธิ และสอนให้ภาวนาไตรสรณคมน์

“พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ”

พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า) วัดพุทธพรหมปัญโญ (ถ้ำเมืองนะ)

ซึ่งในครั้งแรกที่หลวงตานำพระมากำทำสมาธิตามที่หลวงปู่สอนนั้น ท่านก็รู้สึกว่าสามารถทำสมาธิได้นิ่งสงบเบาสบายดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และหลังจากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน หลวงตาไม่เคยไปศึกษากับครูบาอาจารย์ท่านใดอีกเลย มุ่งศึกษากระแสพลังเหนือพลังจากหลวงปู่ดู่เพียงองค์เดียวมาโดยตลอด โดยหลวงตากล่าวว่า

“หลวงปู่จะสอนศิษย์แต่ละคนไม่เหมือนกัน ท่านจะดูจากจริตนิสัยบุญบารมีของแต่ละคน เวลาหลวงปู่อยู่กับหลวงตาเพียงลำพังก็จะสอนอีกแบบหนึ่งไม่เหมือนคนอื่น หลวงปู่ท่านมีความรู้มาก มีบุญบารมีเต็มล้นแล้ว หลวงตาเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของท่านเท่านั้น”

หลวงตาได้เล่าให้ฟังเรื่องบุญบารมีอันมากล้นของหลวงปู่ดู่ว่า

“ในสมัยนั้น แม้หลวงปู่จะอายุกว่า ๗o ปีแล้ว แต่ท่านยังมีผิวสีชมพูสวยมาก ใครไปแตะโดนตัวท่านไม่ได้ ท่านมีบุญบารมีบริสุทธิ์มาก แต่พวกเรายังมีกิเลสมาก แตะโดนแล้วตัวท่านจะบวมเลย มีครั้งหนึ่งลูกศิษย์ขอปิดทองบูชาที่ขาท่าน ท่านก็เมตตาให้ปิด แต่พอเช้าวันต่อมาขาท่านบวมทั้งสองข้างเลย ตั้งแต่นั้นมาท่านไม่อนุญาตให้ใครปิดทองตัวท่านอีกเลย”

หลวงตาเล่าพลางหัวเราะเบาๆก่อนทิ้งท้ายว่า

“ตอนนั้นหลวงตาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไปปิดทองหลวงปู่ด้วย ตอนนั้นเราไม่รู้” ในสมัยที่หลวงปู่ดู่ยังอยู่นั้น หลวงปู่และลูกศิษย์จะช่วยกันสร้างพระทุกวันเพื่อฝึกให้ใจอยู่กับพระเสมอและนำพระไปใช้กำทำสมาธิภาวนา ซึ่งหลวงปู่ได้กล่าวถึงเรื่องพระเครื่องที่คนมักมองว่าเป็นเรื่องงมงายไว้อย่างน่าคิดว่า “ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล”

อย่างน้อยดึงให้ใจเขาติดอยู่กับพระเครื่อง ให้เห็นพระทุกวันก็เป็นพุทธานุสติ ใจเขาก็เป็นบุญ ดีกว่าปล่อยให้ใจเขาไปติดอยู่กับเหล้ายากิเลสสิ่งไม่ดีอื่นๆ โดยลูกศิษย์ท่านหนึ่งที่ศึกษาวิธีการสร้างพระเครื่องของหลวงปู่ไว้อย่างครบถ้วน และช่วยท่านสร้างพระมาตลอดในสมัยนั้นก็คือ “หลวงตาม้า” นั่นเอง

บวชจิตให้เป็นพระ

ในสมัยที่หลวงตาเป็นฆราวาสนั้น ท่านเทียวไปเทียวมากรุงเทพฯ-อยุธยาเพื่อศึกษาแนวทางการปฏิบัติต่างๆกับหลวงปู่ดู่เป็นเวลากว่า ๑o ปี และมีความรู้สึกอยากบวชมาตลอด ต่อมาเมื่อปรึกษาเรื่องการบวชกับหลวงปู่ ท่านได้บอกว่า ผู้ที่จะเป็นพระนั้น ใจต้องเป็นพระ บวชจิตให้เป็นพระ ตัวเราก็เป็นพระ โดยท่านสอนเรื่อง “การบวชจิต” ไว้ว่า ขณะกราบพระ ขณะนั่งสมาธิภาวนา ก็ให้นึกว่า

พุทธังสรณังคัจฉามิ” เรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัชฌาย์
ธัมมังสรณังคัจฉามิ” เรามีพระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์
สังฆังสรณังคัจฉามิ” เรามีพระอริยสงฆ์เป็นพระอนุสาวนาจารย์

สำรวมจิตให้ดีมีความยินดีในการบวชชายก็เป็นภิกษุหญิงก็เป็นภิกษุณีพยายามรักษาใจให้เป็นพระอยู่เสมอจะมีอานิสงส์สูงเป็นเนกขัมมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ ตื่นมาก็กราบพระนั่งรถ ทำงานกินข้าว อาบน้ำทำอะไรก็ให้นึกถึงพระทำใจให้อยู่ในบุญเสมอตามองอะไรก็ให้ได้บุญมองพระดูบทสวดมนต์หูฟังอะไรก็ให้ได้บุญได้ยินใครทำบุญก็อนุโมทนาไม่ใช่หูผึ่งฟังแต่เรื่องนินทาว่าร้ายกันใจอยู่กับบุญไปเรื่อยๆมันจะเบาสบายอะไรที่ไม่เป็นบุญมันจะไม่อยากเข้าใกล้ไม่อยากกินเหล้าเมายาสร้างบาปกรรมใดๆพอใจเป็นพระบ่อยๆเข้ากายก็จะค่อยๆเป็นพระไปเองต้องเริ่มจากข้างในไม่ใช่ข้างนอกบางคนข้างนอกห่มจีวรเป็นพระแต่ใจเป็นโจรก็ไม่เรียกว่าเป็นพระ

ตายแล้วเกิดใหม่ก่อนออกบวช
แม้หลวงตาจะเป็นฆราวาสแต่ก็บวชใจเป็นพระเรื่อยมา จนกระทั่งประมาณ ๑ ปีก่อนจะออกบวชจริงๆ ขณะที่ท่านขับมอเตอร์ไซด์อยู่ที่อยุธยา รถของท่านก็โดนรถเฉี่ยวจนตัวท่านลอยสูง แล้วตกลงมาหัวโหม่งกับพื้นถนนอย่างรุนแรงจนสลบไป!! หลังจากนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว หมอบอกว่ากะโหลกของท่านร้าว แต่โชคดีมากที่ไม่มีเลือดคั่งในสมองและไม่มีบาดแผลรุนแรงใดๆเลย เพียง ๓ เดือนกะโหลกก็ประสานกันดีเหมือนเดิม ซึ่งหลวงตาเล่าให้ฟังว่า วันนั้นท่านห้อยเพียงพระและสวมแหวนของหลวงปู่เท่านั้น ต่อมาเมื่ออาการดีขึ้นท่านจึงไปกราบหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ได้บอกว่า

“ตายแล้วเกิดใหม่ เอ็งมีชีวิตใหม่แล้ว ชีวิตเก่าตายไปแล้ว นี่คือชีวิตใหม่แล้ว”

บวชพร้อมทั้งกายและใจ

หลังผ่านอุบัติเหตุครั้งใหญ่ ผ่านการบวชจิต การศึกษาแนวทางปฏิบัติต่างๆจากหลวงปู่ดู่มาอย่างเต็มภูมิแล้ว หลวงตาก็พร้อมจะบวชเป็นพระทั้งกายและใจ แต่เนื่องจากหลวงปู่ดู่ไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ และท่านได้บอกไว้ว่า

“เวลาบวชต้องดูอุปัชฌาย์ ถ้าอุปัชฌาย์ไม่เป็นพระ เราก็เป็นพระไม่ได้”

หลวงตาม้า ขณะเข้าพิธีอุปสมบท

หลวงตาม้า จึงได้ไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๑ ณ วัดพุทไธศวรรย์ จ.อยุธยา โดยมีพระครูภัทรกิจโสภณ (หลวงพ่อหวล) เจ้าอาวาสวัดพุทไธศวรรย์ (สมณศักดิ์ปัจจุบันคือ พระพุทไธศวรรย์วรคุณ) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสุนทรธรรมนิเทศ (บุญส่ง) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูพิจิตรกิจจาทร (เสน่ห์) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ โดยได้รับฉายาว่า “วิริยธโร” หลังจากบวชแล้ว หลวงตาต้องการจะออกธุดงค์เลย แต่หลวงพ่อหวลได้บอกให้อยู่ให้ครบพรรษาก่อน โดยขณะที่จำพรรษาอยู่วัดพุทไธศวรรย์นั้น หลวงพ่อหวล ผู้สืบวิชาสายหลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช และวิชาเหล็กไหลจากสายหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ยังจะถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆให้กับหลวงตาด้วย ทั้งที่ปกติท่านไม่เคยถ่ายทอดวิชาให้ใคร แต่หลวงตาก็ขอไม่เรียน เพราะท่านรู้สึกว่าเรื่องของคาถาอาคมมีพิธีกรรมมาก ต้องใช้เวลาเรียนและจดจำมาก และตัวท่านเองก็สนใจแต่การปฏิบัติตามแนวทางของหลวงปู่ดู่เพียงองค์เดียวเท่านั้นมาตลอด หลังออกพรรษา หลวงตาก็มากราบลาหลวงปู่เพื่อออกธุดงค์ หลวงปู่จึงมอบเงินให้หลวงตาไว้ ๕oo บาท รวมทั้งของใช้จำเป็นต่างๆ และได้หันไปหยิบรูปหล่อหลวงปู่ดู่เนื้อปูน มาให้ ๑ องค์ แล้วบอกหลวงตาว่า

หลวงพ่อหวล ภูริภทฺโท วัดพุทไธศรวรรย์

“เอ็งไปไหน ข้าไปด้วย… หากสงสัยอะไรในการปฏิบัติให้แกถามเอาจากพระองค์นี้!!” (พระองค์นี้ ปัจจุบันได้มีลูกศิษย์ท่านหนึ่งมาขอจากหลวงตาไปแล้ว)

พระของหลวงปู่วิ่งได้ พูดได้ พระของหลวงตาก็ดิ้นได้เหมือนมีชีวิต

หลายท่านอาจสงสัยว่า พระที่หลวงปู่ให้มานั้นเป็นพระปูนไม่มีชีวิต จะพูดบอกตอบคำถามของหลวงตาได้อย่างไร แต่ในลูกศิษย์สายหลวงปู่ดู่นั้น ทุกคนจะรู้ดีว่า “พระของหลวงปู่มีชีวิต!” ดังที่หลวงตาเคยเล่าว่า

“มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงปู่นำพระมาใส่ในกะละมัง แล้วให้ลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นซึ่งมีหลวงตาอยู่ด้วย ช่วยกันหลับตาอธิษฐานจิตปลุกเสกพระ ทุกคนก็หลับตา แล้วสักพักก็ได้ยินเสียงดัง โกรกกรากๆ ทุกคนก็นึกว่าหลวงปู่เอามือลงไปกวนในกะละมังเลยไม่ได้สนใจอะไร ต่อมาลูกศิษย์คนหนึ่งที่อยู่ในตอนนั้นได้มาเล่าให้ฟังว่า ตอนได้ยินเสียงนั้นเขาแอบลืมตาดู ปรากฏว่าหลวงปู่ไม่ได้เอามือลงไปกวน ท่านเพียงเอามือจับกะละมัง แต่พระที่อยู่ข้างในกลับวิ่งวนไปมาจนเกิดเสียงดัง!! พอท่านหันมาเห็นว่าเขาแอบดู ท่านเลยทำมือจุ๊ปากห้ามไม่ให้เล่าให้ใครฟัง จนท่านมรณภาพไปแล้วจึงได้มาเล่าให้ฟังทีหลัง”

เมื่อหลวงตาเล่ามาถึงตรงนี้ ก็ทำให้ผู้เขียนอดนึกถึงเรื่องอัศจรรย์ที่ได้เจอจากพระที่หลวงตาท่านแจกให้ไม่ได้ ตอนได้พระมาใหม่ๆ ด้วยนิสัยไม่เชื่ออะไรง่ายๆจนกว่าจะพิสูจน์ให้เห็นจริง ผู้เขียนจึงเอาพระมาลองกำทำสมาธิดู ก็รู้สึกเหมือนมีกระแสพลังงานที่เบาสบายวิ่งผ่านจากพระเข้ามาในตัว ทำให้นั่งภาวนาได้สงบดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่พอจิตนิ่งสงบดีได้สักพักผู้เขียนก็ต้องตกใจ… เพราะพระที่กำไว้ในมือนั้น เกิดอาการดิ้นไปมาได้!! พอลองลืมตาดูก็หยุดไป ในใจก็สงสัยว่าคงคิดไปเอง แต่พอหลับตากำพระทำสมาธิต่อสักพัก พระก็เริ่มดิ้นอีก คราวนี้ดิ้นแรงกว่าเดิมจนได้ยินเสียงดังแแกร๊กๆ ซึ่งเป็นเสียงพระ ๒ องค์ที่กำไว้กระทบกัน!! หลังจากนั้นพระก็ยังดิ้นๆหยุดๆอยู่อีกหลายครั้งจนผู้เขียนมั่นใจว่าไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ และเมื่อนำเรื่องพระดิ้นได้มาเล่าให้ลูกศิษย์หลวงตาฟัง กลับไม่มีใครมีท่าทีตื่นเต้นเลย เพราะทุกคนบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีหลายคนเคยนำพระของท่านไปกำทำสมาธิแล้วพระเกิดดิ้นได้เช่นนี้เหมือนกัน เมื่อรู้เช่นนั้นผู้เขียนจึงลองนำพระของหลวงตา ไม่ว่าจะเป็นพระเนื้อผง เหรียญรุ่นต่างๆ (อย่าเพิ่งเชื่อผู้เขียนจนกว่าจะได้ลองปฏิบัติจนเห็นจริงด้วยตนเอง)

เมื่อนำเรื่องพระดิ้นได้มาถามหลวงตา ท่านก็ยิ้มและบอกว่า

“พระของหลวงปู่หลวงตา ดิ้นได้ พูดได้ทุกองค์!!”

เพราะเวลาอธิษฐานจิตปลุกเสกนั้น ท่านจะอาราธนารวมกำลังบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พระโพธิสัตว์ทั้งปวง เทพพรหมทั่วสามแดนโลกธาตุ บุญบารมีของท่านทั้งหมด ให้มารวมกำลังกันเป็นกระแสพลังเหนือพลัง ผ่านพระคาถามหาจักรพรรดิลงไปสู่พระเครื่องทุกองค์ และยังได้อธิษฐานจิตด้วยวิชา “ภูติพระพุทธเจ้า” ซึ่งเป็นวิชาพิเศษในสายหลวงปู่ดู่ ที่ทำให้วัตถุมงคลของท่านทุกองค์สามารถดิ้นได้ พูดได้ ราวกับมีชีวิต โดยเฉพาะกับผู้ที่หมั่นนำไปกำภาวนาจนจิตเกิดความสงบเบาสบาย และสามารถจูนพลังงานจิตของตนให้เข้ากับพลังเหนือพลังที่หลวงปู่หลวงตาได้อธิษฐานไว้ในพระได้แล้ว

พญานาคที่ถ้ำฮก
หลังจากกราบลาหลวงปู่ดู่แล้ว หลวงตาได้เดินทางโดยรถไฟไปยังเชียงใหม่ แล้วเริ่มออกธุดงค์กำหนดจิตตามหาสถานที่ที่มีกระแสพลังงานเกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่ดู่ไปเรื่อยๆ จนไปถึงพระบาทสี่รอย ท่านได้พบกับผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ได้บอกเล่าถึงตำบลเมืองนะว่า มีถ้ำที่มีบรรยากาศสงบสัปปายะเหมาะกับการปฏิบัติธรรม ซึ่งท่านได้ฟังแล้วรู้สึกว่ามีลักษณะคล้ายกับที่ตามหาอยู่ ท่านจึงได้ออกธุดงค์ต่อไปยังเมืองนะ

หลวงตาม้า (พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร)

เมื่อธุดงค์มาถึงเมืองนะ ในช่วงแรกหลวงตาได้ไปพักอยู่ที่ถ้ำฮก ซึ่งท่านเล่าให้ฟังว่า “ที่ถ้ำฮกจะมีงูอยู่ตัวหนึ่ง ตัวสีเขียวเหลือบแดง แล้วมีหงอนด้วย ก็คือพญานาคนั่นหล่ะ เค้าจะมาขดตัวอยู่ใกล้ๆกับกลดที่เราปฏิบัติธรรมทุกวัน แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร ต่างคนต่างอยู่” โดยหลวงตาได้อยู่ปฏิบัติธรรมที่ถ้ำนี้ประมาณ ๑ เดือน แต่เนื่องจากถ้ำฮกเป็นถ้ำลึกที่มีทางน้ำใต้ดินไหลผ่าน ทำให้ถ้ำมีความชื้นมาก ไม่สะดวกต่อการอยู่ปฏิบัติธรรมนัก ท่านจึงได้ออกธุดงค์หาถ้ำอื่นต่อไป

พบถ้ำเมืองนะ ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวพันกับหลวงปู่หลวงตา

หลังออกจากถ้ำฮก หลวงตาได้ธุดงค์ตามกระแสพลังงานของหลวงปู่ดู่ไปเรื่อยๆ จนได้พบกับถ้ำเมืองนะซึ่งในสมัยนั้นมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมจนมองไม่เห็นปากถ้ำ แต่เมื่อแหวกต้นไม้เข้าไปกลับพบว่าในถ้ำซึ่งเป็นถ้ำร้างนั้นกลับสะอาดสะอ้านมากเหมือนมีใครมาปัดกวาดเช็ดถูอยู่ทุกวัน ท่านจึงได้กำหนดจิตดูก็พบว่าใต้ถ้ำแห่งนี้เป็นเมืองบาดาล และมีพญานาคอยู่เป็นจำนวนมากคอยเฝ้ารักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่ทวดและหลวงปู่ดู่เอาไว้ ท่านจึงตัดสินใจอยู่ปฏิบัติธรรมที่ถ้ำเมืองนะแห่งนี้เรื่อยมา

ถ้ำเมืองนะ วัดพุทธพรหมปัญโญ
(ถ้ำเมืองนะ) วัดพุทธพรหมปัญโญ

หลังจากจำพรรษาที่ถ้ำเมืองนะได้ไม่นาน ก็มีลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ตามขึ้นมาหาหลวงตาและเล่าให้ท่านฟังว่า หลวงปู่เล่าให้เขาฟังหมดทุกอย่างว่าหลวงตาจะไปอยู่ที่ถ้ำไหน ลักษณะของถ้ำเป็นอย่างไร ทั้งที่หลวงปู่ไม่เคยมาที่ถ้ำแห่งนี้ และไม่เคยออกจากกุฏิของท่านที่อยุธยาเลย และในเวลาต่อมา หลวงปู่ดู่ยังได้เมตตาอธิษฐานจิตพระหน้าตัก ๑๙ นิ้วองค์หนึ่งให้ลูกศิษย์นำขึ้นมามอบให้หลวงตาประดิษฐานไว้ในถ้ำเมืองนะแห่งนี้อีกด้วย

นอกจากถ้ำเมืองนะจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่ดู่แล้ว ถ้ำนี้ยังมีความเกี่ยวพันกับหลวงตาเป็นอย่างมาก โดยหลวงตาเล่าว่า บริเวณกุฏิของท่านในปัจจุบันนี้ ตอนที่พบครั้งแรกท่านรู้สึกคุ้นเคยมาก รู้สึกว่ายังไงต้องเอาตรงนี้เป็นที่พักให้ได้ ท่านจึงได้กำหนดจิตดูก็พบว่า ที่ตรงนี้เคยเป็นวัดมาก่อนตั้งแต่สมัยอยุธยา และบริเวณนี้เป็นที่ที่ท่านซึ่งเป็นพระในสมัยนั้นเคยอยู่จำพรรษามาก่อน โดยท่านได้พบหลักฐานเป็นบาตรดินเก่าที่แตกหัก ซึ่งเป็นบาตรเก่าของท่านตั้งแต่สมัยนั้นอยู่ในบริเวณนี้ด้วย

ภพภูมิต่างๆที่ถ้ำเมืองนะ

ขณะที่ปฏิบัติธรรมอยู่ถ้ำเมืองนะ หลวงตาได้เจอกับภพภูมิต่างๆที่อาศัยกันอยู่ในบริเวณนี้บ่อยครั้ง โดยท่านเล่าให้ฟังว่า

“เคยเห็นเทวดาใส่ชฎามายืนอยู่หน้าถ้ำ เราเห็นแต่ก็ไม่ได้สนใจ เขาเห็นเราไม่สนใจก็เลยบอกว่า ‘ตุ๊นี่หยิ่งจริง วันหลังไม่มาดีกว่า!’ หลังจากนั้นลองเรียกเขายังไง เขาก็ไม่ยอมปรากฏตัวมาหาอีกเลย… หรือบางครั้งนั่งพักอยู่ในถ้ำ ก็เห็นเหมือนคนเดินผ่านหน้าไป แล้วก็เดินหายเข้าไปในผนังถ้ำต่อหน้าต่อตาเลยก็มี แต่เราก็เฉยๆไม่ได้สนใจอะไร”

นอกจากนี้ ลูกศิษย์หลวงตาจะรู้กันดีว่า ที่ถ้ำนี้มีเทวดาอยู่ท่านหนึ่งซึ่งทุกคนจะเรียกว่า “พี่ยักษ์” เวลาใครมาถ้ำเมืองนะก็มักจะแวะมากราบไหว้พี่ยักษ์ซึ่งหลวงตาได้หล่อเป็นรูปยักษ์ยืนเฝ้าอยู่หน้าถ้ำเสมอ เวลาใครมานอนค้างปฏิบัติธรรมที่ถ้ำ ก็จะตั้งจิตอธิษฐานบอกพี่ยักษ์ไว้ว่าต้องการจะตื่นกี่โมง พอถึงเวลาที่บอกกล่าวไว้นั้น บางคนจะได้ยินเสียงกระทืบพื้นดังตึงๆ บางคนก็โดนเคาะหัว บางคนก็ฝันว่าพี่ยักษ์ไปเรียกในฝันก็มี ทำให้แต่ละคนสามารถตื่นขึ้นมาได้ตรงเวลาโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุกเลย ซึ่งเรื่องพี่ยักษ์นี้เป็นเรื่องที่มีหลายคนเคยพบเจอจนกลายเป็นเรื่องปกติของลูกศิษย์วัดถ้ำเมืองนะไปแล้ว

เริ่มสร้างพระตามแนวทางหลวงปู่ดู่

ประมาณ ๓ ปีแรกที่หลวงตามาปฏิบัติธรรมอยู่ถ้ำเมืองนะนั้น ท่านจะจำวัดในโลงศพเสมอ และยังได้ตั้งจิตอธิษฐานเร่งความเพียรปฏิบัติธรรมอยู่แต่ภายในบริเวณถ้ำโดยไม่ออกไปไหน เพื่อหวังจะได้บรรลุนิพพานในชาตินี้ แต่หลังจากท่านเร่งปฏิบัติธรรม พิจารณาทบทวนธรรมะต่างๆที่หลวงปู่ดู่ได้ถ่ายทอดไว้ให้แล้ว ท่านก็ได้พบกระแสพลังงานเก่าของตนเองว่า ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิมาหลายภพหลายชาติแล้ว ท่านจึงหันมาปฏิบัติธรรมสร้างบารมีตามแนวทางพระโพธิสัตว์เช่นเดียวกับหลวงปู่ดู่ครูบาอาจารย์ของท่านนับแต่นั้นเป็นต้นมา

พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า) วัดพุทธพรหมปัญโญ (ถ้ำเมืองนะ)

ต่อมาเมื่อหลวงปู่ดู่มรณภาพลงเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๓ ท่านจึงได้ออกจากถ้ำเพื่อมาร่วมงานพระราชทานเพลิงศพในปี พ.ศ.๒๕๓๔ โดยหลวงตาได้พิจารณาเห็นว่า เมื่อหลวงปู่ไม่อยู่แล้ว ก็ไม่มีใครคอยเป็นหลักในการแผ่เมตตาช่วยเหลือภพภูมิทั้งหลาย และสร้างพระเครื่องเพื่อเป็นกุศโลบายให้คนหันมาปฏิบัติธรรมแทนหลวงปู่เลย ในขณะที่ตัวท่านเองเป็นลูกศิษย์ที่ได้ศึกษากระแสพลังเหนือพลัง และความรู้ต่างๆจากหลวงปู่มาอย่างเต็มภูมิ รวมทั้งได้มาอยู่ที่ถ้ำเมืองนะซึ่งมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รวมกระแสพลังงานอันไม่มีประมาณของหลวงปู่ทวดหลวงปู่ดู่เอาไว้อีกด้วย ท่านจึงควรจะช่วยทำหน้าที่วางรากฐาน และเผยแพร่แนวทางการปฏิบัติธรรมสร้างบารมีช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลาย และสร้างพระเครื่องเพื่อใช้ในการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของหลวงปู่ดู่ต่อไป

ในครั้งแรก หลวงตาไม่มั่นใจนักว่าจะสามารถทำหน้าที่แทนหลวงปู่ได้หรือไม่ แต่เมื่อนึกถึงที่หลวงปู่เคยบอกท่านไว้ก่อนออกธุดงค์ว่า “เอ็งไปไหน ข้าไปด้วย” ก็ทำให้ท่านมีกำลังใจว่าหลวงปู่จะต้องคอยช่วยให้ท่านทำหน้าที่นี้ได้สำเร็จแน่ หลวงตาจึงได้อธิษฐานจิตว่า ถ้าจะให้ท่านทำหน้าที่แทนหลวงปู่ได้ ขอให้หลวงปู่นำของที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่มาให้ภายใน ๓ เดือน ซึ่งหลังจากท่านอธิษฐานได้เพียง ๒ เดือน ก็มีลูกศิษย์ของหลวงปู่ขึ้นมาที่ถ้ำ และมอบสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่กายของหลวงปู่ชิ้นหนึ่งให้กับท่าน ทั้งที่เขาบูชาของสิ่งนั้นมาในราคาแพงหลักแสน โดยเขากล่าวว่า อยู่กับเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่กับหลวงตามีประโยชน์กว่า และหลังจากนั้นก็เริ่มมีคนนำมวลสารของหลวงปู่ดู่มาถวายให้ท่านมากมายหลายอย่าง ท่านจึงได้เริ่มเผยแพร่แนวทางการปฏิบัติธรรมในสายโพธิญาณ และสร้างพระตามแนวทางของหลวงปู่ดู่เรื่อยมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๔ จนถึงปัจจุบัน “คนเราเกิดมาไม่เห็นมีอะไรดี มีดีอยู่อย่างเดียว สวดมนต์ ไหว้พระ ปฏิบัติภาวนา”

ขอขอบคุณข้อมูล ดร.รอบทิศ ไวยสุศรี

ธรรมมะ หลวงตาม้า

– สวดไป…ดีกว่าหายใจเฉยๆ

– หลวงตาตื่นปุ๊บทำ(สวด)ปั๊บนะ กลัวลืม

– การอฐิษฐานหรือการภาวนา ตื่นแล้วให้ทำเลยกันลืม

– ก่อนนอน ตื่นนอน อาบน้ำ กินข้าว เดินไปเดินมา ต้องทำ

– การฝึกสติจริงๆแล้ว ก็คือเอาสติไปอยู่กับพระ นี่คือแนวทางของ โพธิญาณ

– เมื่อจิตนึกถึงพระแล้วเนี่ย แม้แต่เราเห็นพระ เราจะปิติ ปิตินะ ปิติในพระ…

– เริ่มปฏิบัติซะ เพราะเราไม่มีทางรู้ว่า เราจะไปเมื่อไหร่

– ให้เราหมั่นมองดูภาพหลวงปู่บ่อยๆ มองแบบสบายๆ ไม่ต้องเพ่งจะดีเอง

– เวลามี สถานที่ก็เหมาะ แล้วช้าอยู่ทำไม

– ถ้าไม่ทำตอนนี้ ก็ไม่รู้จะไปทำตอนไหนแล้ว เดี๋ยวเกิดต้องตายก่อน จะตามพวกไม่ทัน

– หลวงตาเพียงแต่แนะนำให้ได้เท่านั้น ส่วนการปฏิบัตินั้น อยู่ที่ตัวของผู้ปฏิบัติเองจะทำได้แค่ไหน ต้องทำจริงๆ

– ปฏิบัติเหลาะๆแหละๆ ไม่ได้อะไรหรอก มันต้องจริงจัง

– ทำน่ะไม่ยากหรอก…ที่ยากน่ะไม่ทำ

– สวดไม่จริง…ก็สวดไปอย่างนั้นไง บางคนสวดเสียงดังนะ
แต่ไม่เข้าไปในใจ…ไม่ปิติ

– อย่าไปดูคนอื่น…ให้ดูตัวเอง

– เวลาเราทำความดี ทำสิ่งดีๆใดๆก็ตาม
ให้นึกว่าตัวเองเป็นพระอยู่ทุกครั้ง
เป็นการฝึกสติตัวเองไปด้วย

– ผู้จะพ้นทุกข์ได้ต้องเข้าถึงไตรสรณคมณ์ก่อน

– ให้นึกถึงพระให้บ่อยที่สุด อย่างการกำพระเราก็นึกถึงพระ
…ต่อไป เห็นพระ ไม่ได้เลย…จิตจะเข้าไปกราบทันที
นั่นคือการเข้าถึงไตรสรณคมณ์ เป็นการปิดอบายภูมิ

– เวลานึกถึงพระ นึกถึงหลวงปู่ จิตของเราจะอยู่ที่พระ อยู่ที่หลวงปู่
เป็นไตรสรณคมณ์ ปิดกั้นพลังงานไม่ดีได้

– ตอนมีชีวิตไม่ได้สวด…ตอน(จะ)ตายจะนึกไม่ได้

– มนุษย์จะเป็นอะไรก็ได้…ที่ใจ จากต่ำสุดจนถึงสูงสุด คือพระอรหันต์

– การภาวนานี้ นอกจากจะเป็นบุญ และทำให้จิตได้ทำงานแล้ว
ยังช่วยให้เราไม่ประมาทในความตายด้วย

– เวลามีใครด่า นินทา หรือพูดไม่ดีกับเรา
ให้ทรงภาพหลวงปู่ไว้แล้วใจเราจะไม่ถูกกระทบ
โดยคำพูดเหล่านี้เลย นี่แค่สมาธิขั้นต้นนะ ต้องทำให้ได้

– เห็นหมาตาย…สัพเพฯ
เห็นวัด…โมทนา
เห็นคนทำบุญ…สาธุ นี่คือกรรมฐานที่แท้จริง
จิตของเราจะอยู่ในกรรมฐานตลอดเวลา

– ไม่ต้องมาที่ถ้ำหรอก ถ้าเคารพกัน นึกถึงกันจริงๆ
อยู่ที่ไหนหลวงตาก็ไปได้

– วันไหนไม่มีบ้านให้อยู่ จะมาอยู่ที่วัด(วัดถ้ำ)ก็ได้
จะมาก็มา จะไปก็ไป ที่นี่ยินดีต้อนรับเสมอ

– พวกเราลองตัดทีวีออกนะ
ทานอาหารที่เป็นธรรมชาติ
อยู่ในที่ๆมีอากาศดีดี อายุจะยืนขึ้น
โรคภัยไข้เจ็บก็จะน้อยลง…

– เขา(ผู้หญิงคนนั้น)ก็เป็นคนหนึ่งที่ต้อง
เวียนว่ายตายเกิดเหมือนเรา ไม่มีอะไรเลย
เดี๋ยวก็ตายแล้ว ต่างจากหลวงพ่อ(ดู่)
ที่ท่านมีพลังงานบุญ เราสามารถนำมาใช้ได้
เรานึกถึงใครดีกว่ากันล่ะ…?

– ชาติหนึ่งๆ ดูเหมือนเราทำบุญเยอะ แต่รู้ไหม ได้นิดเดียว
เพราะมิติเวลาไม่เท่ากัน ชาติหนึ่งของเรา ข้างบนแป๊บเดียว

– ใครสัพเพไปที่นก แล้วนกมันบินมาเกาะที่มือเนี่ย
แสดงว่าคนนั้นไม่ธรรมดา ต้องมีเมตตาสูงมากถึงจะทำได้

– การทำพระนี่ เป็นการทำให้คนติดพระ
มันเป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ
เป็นอนุสสติ ไตรสรณคมณ์ว่างั้น

เรียบเรียงเนื้อหาจากคติธรรมคำสอนของ
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า)
วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ)
ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่