วันอาทิตย์, 13 ตุลาคม 2567

ตํานาน ประวัติ พระธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร

ตํานาน ประวัติ พระธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร

พระธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
พระธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร

จตุภควา พุทธปาทเจติยํ ปัญจปาทวรํ ฐานํ อหํ วทามิ

ในสมัยครั้งหนึ่ง สัตถาอันว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธโคดมบรมครูเจ้าของเรา พระองค์เสด็จสําราญพระอิริยาบถอยู่ในวิหารพระเชตุวนารามใกล้กับเมืองสาวัตถีมหานคร ครั้งนั้นพระมหาอานนท์เจ้ากับพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป ทูลถามเหตุอุบัติบังเกิดแห่งพระพุทธเจ้า ซึ่งได้มาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในภัทรกัลปนี้ถึง ๕ พระองค์ มากกว่ากัลป์ในอดีตอนาคต (ปาง) ครั้งนั้นองค์สมเด็จพระควันตบพิตรจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสพระสัทธรรมเทศนาเรื่องนิทานกาเผือก ขึ้นแสดงว่า เมื่อก่อนสาสนาพระพุทธเจ้าประทุมบุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าอันล่วงไปแล้วยังมีพระโพธิสัตว์เจ้า ๕ พระองค์พี่น้องได้เสวยพระชาติเป็นลูกกาเผือก คือครั้งนั้นยังมีท้าวมหาพรหมองค์หนึ่ง จุติจากชาติอันเป็นพรหมชั้นสุธาวาสมาบังเกิดเป็นกาเผือก ทรมานพระชาติในชมพูทวีปตามบุพพกรรม นางกาเผือกตัวนั้นได้ไปทํารังที่ต้นไม้อุทุมพร ไม้เดื่อ ริมแม่น้ำคงคานที่ นางกาเผือกถ่ายฟองออกวันเดียวมี ๕ ฟองๆ กาเผือกทั้ง ๕ ฟองนั้น พระโพธิสัตว์เจ้า ๕ พระองค์พี่น้องมาอุบัติบังเกิดในฟองไข่กาเผือกด้วยด้วยกรรมกุศล นางกาฟักกกไข่นั้นอยู่ครบไตรมาส ๓ เดือน ไข่ก็ไม่แตกไม่เบาะ นางกาอดทนความหิวไม่ได้ ก็เที่ยวไปหาอาหารเลี้ยงชีพในวันนั้น เกิดอุบัติเหตุลมพายุห์ใหญ่พัดมาทางทิศเหนือ อุดร ทั้งห่าฝนก็ตกมาหนัก ลมพายุห์ก็พัดหักต้นไม้เดือลงไปใน แม่น้ำคงคา ลมพัดเอาไข่กาเผือกให้พรากจากกันไปคนละหนละแห่ง

ไข่ฟองที่ ๑ ไปตกค้างอยู่ที่เกาะไก่ริมหนองหารหลวง แม่ไก่ในเกาะนั้นเอาไปฟักไปกก ก็เกิดเป็นไก่ผู้เผือกตัวหนึ่ง ให้นามตามโคตรของแม่เลี้ยงว่า กุกุสันโธ

ไข่ฟองที่ ๒ ไปตกค้างอยู่ที่เกาะนาคแห่งหนึ่งริมแม่น้ำคงคา แม่นาคในเกาะนั้นเอาไป ฟักไปกก ก็เกิดเป็นนาคผู้เผือกตัวหนึ่ง ให้นามตามโคตรของแม่เลี้ยงว่า โกนาคมโน

ไข่ฟองที่ ๓ ไปตกค้างอยู่ที่เกาะเต่าแห่งหนึ่ง แม่เต่าในเกาะนั้นเอาไปฟักไปกก ก็เกิดเป็นเต่าผู้เผือกตัวหนึ่ง ให้นามตามโคตรของแม่เลี้ยงว่า กัสสโป

ไข่ฟองที่ ๔ ไปตกค้างอยู่ที่ป่าโคแห่งหนึ่ง แม่โคในป่านั้นเอาไปฟักไปกก ก็เกิดเป็นโคผู้เผือกตัวหนึ่ง ให้นามตามโคตรของแม่เลี้ยงว่า โคตโมฯ

ไข่ฟองที่ ๕ ไปตกค้างอยู่ที่สวนตรีพราหมณชาวศักยราชในแคว้นเมืองกรุงอุดรปัญจมหานครพราหมณ์ ๓ สหายไปเที่ยวชมสวน จึงพบไข่นั้น เห็นแปลกกว่าไข่สัตว์ธรรมดา

พราหมณ์ทั้ง ๓ ก็เอาไปให้นางสิงหพรามณีทั้ง ๓ ผู้เป็นภรรยาฟักกกไข่ไว้ที่บ้านของ ตนไข่นั้นแตกเบาะก็บังเกิดเป็นมนุษย์ผู้ชายผู้หญิงมีรูปโฉมผิวพรรณ์งดงามบริสุทธิ์ยิ่งกว่ามนุษย์ทั้งหลาย นางสิงหพราหมณีทั้ง ๓ ให้นามตามโคตรสกุลของตนผู้เป็นแม่เลี้ยงว่า อริยไมตรีบุตร อริย แปลว่า ชาติอริยก หรือวงษ์อริยเจ้า ไมตรี แปลว่า พราหมณ์ทั้ง ๓ มีไมตรีจิตต์ต่อกันเป็น อันดี

ครั้นเมื่อลมเซาสงบแล้ว นางกาเผือกก็รีบกลับมาสู่รังของตนเห็นต้นไม้เดื่อที่ทํารังอยู่นั้นหักลงในน้ำ รังไข่ของตนน้ำก็พัดหายไป นางกาเผือกมีความโทมนัสยิ่งนัก ถึงกับอกแตกแยกออกเป็น ๒ ซีก ถึงแก่มรณกรรม แล้วไปบังเกิดเป็นพรหมอยู่ชั้นสุทธาวาส ปรากฏนามว่า ท้าวพกามหาพรหมมีอายุยืนได้ ๘ หมื่นปี ด้วยเดชะผลกุศลอันตนได้สร้างสมอบรมไว้หลายชาติ ก็มีในกาลนั้นแล

พระธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
พระธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร

พระโพธิสัตว์เจ้าทั้ง ๕ พระองค์ อันแม่ไก่ แม่นาค แม่เต่า แม่โค และนางพราหมณีภรรยาตรีพราหมณ์เลี้ยงไว้นั้น ต่างองค์ก็เจริญวัยขึ้นได้ ๑๖ ขวบบริบูรณ์ นางแม่เลี้ยงต่างก็เล่าให้บุตรของตนฟังตามเหตุอันมี พระโพธิสัตว์เจ้าทั้ง ๕ พระองค์ เมื่อได้ฟังสุนทรวาจาของมารดา เลี้ยงดังนั้นแล้ว ก็ต่างองค์ต่างคิดว่า เราอยู่ด้วยแม่เลี้ยงของเรา ก็คงไม่เห็นหน้าแม่เกิดของตนเป็นแน่ คิดแล้วดังนั้นต่างองค์ก็กล่าวสุนทรวาจา ลาแม่เลี้ยงไปเที่ยวหาแม่เกิด ถ้าไม่พบก็จะรักษาศีลเมตตาภาวนาปรารถนาพระพุทธภูมิ แม่เลี้ยงก็กล่าววาจาให้พรอนุญาตตามความปรารถนา และสั่งว่าเมื่อสําเร็จพระพุทธภูมิเจ้าอย่าละทิ้งนามโคตรของแม่เลี้ยงเจ้าเถิด พระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พระองค์ ต่างก็ได้รับพระอนุญาตมารดาเลี้ยงของตน ต่างองค์ก็เที่ยวไปหาแม่เกิดในกาลนั้นแล

ปฐโม กุกุสนฺโธ พระโพธิสัตว์เจ้าองค์ที่ ๑ เมื่อเที่ยวไปหาแม่เกิดของตนไม่พบ จึงคิดว่าเราจะกลับไปรักษาศีลจําเริญเมตตาภาวนาอยู่ที่เกาะไก่ซึ่งเป็นถิ่นของแม่เลี้ยง เมื่อพระองค์กลับไปถึงเกาะไก่ได้เห็นไม้ชัยพฤกษ์ต้นหนึ่ง มีดอกใบร่มเงาอันดีเป็นร่มนิยสถานอันอุดม พระองค์ก็เข้าไปสมาทานรักษาศีล สร้างสมพรหมวิหารอยู่ใต้ร่มไม้ชัยพฤกษ์ ปรารถนาพระพุทธภูมิไม่นานเท่าใด

ทุติโย โกนาคมโน พระโพธิสัตว์เจ้าองค์ที่ ๒ เมื่อเที่ยวไปหลายหนหลายแห่ง เมื่อไปถึงเกาะไก่ ได้เห็นไก่นิ่งหลับตาอยู่ที่ร่มไม้ชัยพฤกษ์ โกนาคมโนนาคได้เห็นก็คิดว่าไก่เคยเป็นอาหาร จึงด้อมเข้าไปจะกัดเอาไก่เป็นภักษาหารไก่รู้สึกจึงถามว่าท่านจะทําไมแก่เรา นาคตอบว่า เราจะ กัดเอาท่านเป็นภักษาหาร ไก่กล่าวว่า เออถ้ากระนั้นจงหยุดอยู่หน่อยเถิด พอให้เราภาวนาเมตตา พรหมวิหารจบบทก่อนนาคได้ฟังดังนั้นก็นึกประหลาดใจ ว่าไก่ไม่มีความกลัว นาคจึงถามว่า ท่านภาวนาพรหมวิหารนั้น ปรารถนาเพื่อประสงค์สิ่งใด ไก่ตอบว่า ปรารถนาเพื่อประสงค์พระพุทธภูมิ เพื่อจะได้พบแม่เกิดของเรา นาคถามต่อไปว่า นามโคตรและมารดาของท่านชื่อใด ไก่บอก นามโคตรมารดาเลี้ยงของเรากุกุสันโธ มารดาเกิดของเรานั้นชื่อใดก็ไม่ทราบ แม่เลี้ยงบอกว่าได้ไปพบไข่ลูกหนึ่งไม่รู้ว่าไข่อะไร ลมพัดมาตกอยู่ที่เกาะไก่นี้ แม่ไก่ก็เอาไข่นั้นไปฟักไปกก เราก็เกิดมาเป็นไก่เผือก จึงสามารดาเลี้ยงมารักษาศีลภาวนาอยู่ในที่นี้ เมื่อนาคได้ฟังดังนั้นก็มีความปีติ ชื่นบานใจ เพราะได้รู้ว่าไก่เป็นพี่ของตน เอานามของแม่เลี้ยงเป็นนามโคตรอย่างเดียวกัน นาคจึงสมาทานศีลจําเริญเมตตาภานาสร้างสมอบรมพระบารมีอยู่ด้วยกันกับไก่ไม่ช้าไม่นานเท่าใด

ตติโย กสฺสโป พระโพธิสัตว์เจ้าองค์ที่ ๓ อันแม่เต่าเอาไปเลี้ยงนั้น ได้เที่ยวไปหาแม่เกิดของตนหลายหนหลายแห่งไม่พบ เมื่อไปถึงเกาะไก่ได้เห็นไก่กับนาคซึ่งเป็นศัตรูกันและอยู่ด้วยกัน โดยความปรองดองสมาคมกันกันดี เต่าเห็นเป็นการอัศจรรย์จึงเข้าไปถาม ไก่กับ นาคจึงเล่าให้เต่าฟังแต่ต้นจนอวสาน เต่าได้ฟังดังนั้นจึงรู้ว่าไก่กับนาคเป็นพี่ของตน เกิดฟองไข่อันเดียวกัน เอานามแม่เลี้ยงเป็นนามโคตรอย่างเดียวกัน เต่าจึงขอสมาทานศีลสร้างสมอบรมพระบารมีอยู่ด้วยกัน ต่อมาไม่ช้าไม่นานเท่าใด

จตุโถ โคตโม พระโพธิสัตว์เจ้าองค์ที่ ๔ อันแม่โคเอาไปเลี้ยงนั้น เดินเที่ยวไปหาแม่กิดของตนหลายหนหลายแห่งไม่พบ เมื่อไปถึงเกาะไก่ได้เห็นไก่กับนาคและเต่าอยู่ด้วยกัน รักใคร่ไมตรีต่อกันดี โคเห็นนึกแปลกใจเพราะสัตว์ต่างชาติมาอยู่ด้วยกันเป็นอันดี โคจึงเข้าไปถาม ไก่กับนาคและเต่าจึงเล่าเรื่องที่เกิดที่เป็นมานั้นให้โคฟังตั้งแต่ต้นจนปลาย โคได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็มีความยินดีว่าไก่กับนาคเป็นพี่ของตน เกิดในฟองไข่เอานามแม่เลี้ยงเป็นนามโคตรเหมือนกัน โคจึงขอสมาทานศีลสร้างสมอบรมพระบารมีอยู่ด้วยกัน ไม่ช้าไม่นานเท่าใด

ปญฺจโม อริยเมตฺไตรโย พระโพธิสัตว์เจ้าองค์ที่ ๕ อันนางพราหมณีเอาไปเลี้ยงนั้น เมื่อลามารดาเลี้ยงแล้ว ก็ไปเที่ยวทางทิศอุดร ไม่ทราบเหตุผลอันใด จึงเดินทางไปทิศอิสาน ถึงเกาะไก่บริเวณหนองหารหลวงใหญ่ ได้พบไก่ นาค เต่า โค อยู่ด้วยกันในความสมาคม อริยไมตรี จึงเข้าไปไต่ถามได้ความว่า ไก่และนาค เต่า โค เกิดด้วยฟองไข่ มีแม่เลี้ยงเป็นสัตว์ต่างชาติ เอานามแม่เลี้ยงเป็นนามโคตรเหมือนกัน ปรารถนาก็อย่างเดียวกัน อริยไมตรีจึงรู้ว่า ไก่ นาค เต่า โค เป็นพี่ของตนจึงขอสมาทานรักษาศีลจําเริญเมตตาภาวนาอยู่ด้วยกันที่เกาะไก่ได้ ๓ ปี ก็ไม่พบแม่เกิดของตน อริยไมตรีจึงปรึกษาพี่ทั้ง ๔ ว่า เราทําความเพียรอยู่ในที่นี้ครบ ๓ ปีแล้ว ยังไม่พบแม่เกิดของเราดังความปรารถนา ควรเราจะเที่ยวไปทางทิศประจิม และทักษิณ ไก่จึงกล่าวว่าที่นี้ เป็นถิ่นที่เกิดของเรา พี่น้องก็ได้มาพบกันรู้จักกันในที่นี้ จึงได้พร้อมกันทั้งปณิธานความปรารถนาพระพุทธภูมิ ในต้นไม้ชัยพฤกษ์ต้นนี้ นับว่าที่นี้เป็นที่ประเสริฐอุดมอันหนึ่ง ไม่ควรเราจะลืมบุญคุณไม้ชัยพฤกษ์ต้นนี้ พระโพธิสัตว์เจ้าทั้ง ๕ พระองค์จึงพร้อมกันให้ปฏิญาณสัญญาต่อกันไว้ว่า ถ้าผู้ใดได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูก่อน ให้มาเหยียบรอยพระบาทไว้ในที่นี้เป็นเครื่องหมาย เมื่อ ตกลงกันแล้วก็พร้อมกันลาต้นไม้ชัยพฤกษ์สถาน เที่ยวไปในทิศประจิมภาคเหนือ ถึงดอยอันหนึ่ง มีนามว่า สิงคุตระ มีดอยน้อยเป็นบริวาร ๙ ลูก ดอยสิงคุตระนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคานที เป็นที่บรมนิยสถานอันอุดม พระโพธิสัตว์เจ้าทั้ง ๕ พระองค์ มีความปิติโสมนัสด้วยสถานอันประเสริฐ จึงพร้อมกันสมาทานศีลรักษาสัจจ์ปฏิบัติ สร้างสมอบรมพระบารมีอยู่ด้วยกันในที่นั้น และได้ปฏิญาณสัญญากันว่า ถ้าไม่พบแม่เกิดของเราในที่นี้ เราจักไม่ไปจากที่นี้เลย หากอายุสังขารจะสูญดับไปเสียก็ตามเถิด พระโพธิสัตว์เจ้าทั้ง ๕ พระองค์ ก็กระทําความเพียรเมตตาภาวนา พรหมวิหารเป็นปกติทุกอิริยาบถได้ถึง ๖ ปี ก็ยังไม่พบพานมารดาเกิด อริยไมตรีจึงกล่าววาจากับพี่ทั้งหลายว่า เราสร้างสมอบรมพระบารมีอยู่ในที่นี้นาน ๖ ปี แล้วควรเราจะตั้งสัตย์อธิษฐานว่า ถ้าจะสําเร็จพระพุทธภูมิตามความปรารถนาขอให้ได้พบมารดาเกิด ผู้ใดเป็นมารดาเกิดของเรา จงมาปรากฏแก่เราในกาลบัดนี้เทอญ พระโพธิสัตว์เจ้าเมื่อตกลงกันแล้ว ต่างองค์ก็ต่างอธิษฐาน ความปรารถนาตามสัญญานั้น เดชะพระบารมีที่สร้างสมอบรมพระบารมีมาแต่ปางก่อนหลายชาติ ความนั้นก็ไปปรากฏแก่ทิพยโสตรท้าวพกามหาพรหมชั้นสุทธาวาส ท้าวพกามหาพรหม ผู้เป็นมารดาเกิดของพระโพธิสัตว์เจ้าทั้ง ๕ พระองค์เล็งญาณไปก็รู้แจ้งแทงตลอดด้วยทิพยจักษุว่า บุตรของตนยามเมื่อเกิดเป็นชาติกาเผือก ก็ยังอยู่ด้วยกันทั้ง ๕ พระองค์เป็นหน่อพระพุทธางกูร ท้าวพกามหาพรหมก็อธิฐานตนให้เป็นกาเผือก มีขนและปีกหางขาวบริสุทธิ์ ร่างกายใหญ่โต องอาจงดงาม เสด็จร่อนเร่ห์มาปรากฏประดิษฐานอยู่ ณ ท่ามกลางพระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พระองค์ ก็มีในกาลบัดนั้นแล

พระธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
พระธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร

กาโก พรฺหมพกาโย กาเผือกพรหม จึงกล่าวสุนทรวาจาว่า ตตา ดูก่อนเจ้าทั้ง ๕ เป็น บุตรแห่งแม่นี้แท้จริง เมื่อแม่เป็นชาติกาเผือกปางนั้น แม่ได้มาทํารังอยู่ที่ต้นไม้มะเดื่อริมฝั่งแม่น้ำคงคานที่ใกล้กับที่อยู่แห่งเจ้าทั้งหลายในเวลานี้ แม่ถ่ายฟองออกวันเดียว ๕ ฟอง แม่พยายามฟัก กกไข่อยู่ ๓ เดือน ไข่ก็ไม่แตกไม่เบาะ ในวันหนึ่งแม่ละทิ้งไข่ไว้ไปเที่ยวหาอาหารเลี้ยงชีพพอเป็นเครื่องกันความหิว ก็บังเกิดมีลมพายุกล้ามาทางทิศเหนือ ลมก็พัดหักเอาต้นไม้เดือลงไปที่น้ำคงคานที เมื่อลมหยุดสงบแล้ว แม่กลับมาไม่เห็นไข่อกแม่แตกตายไป แม่ไปเกิดในชั้นพรหมสุทธาวาส ประสงค์จะให้ลูกเห็นรูปทรงของแม่ แต่เมื่อยังเป็นชาติกาเผือก ในกาลครั้งนั้นแล

เมื่อนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าทั้ง ๕ พระองค์ เห็นแม่มาปรากฏอยู่ฉะเพาะหน้าตามความปรารถนาแล้ว ก็พร้อมกันทั้งเบ็ญจางค์ประดิษฐ์ใหว้นบเคารพ แล้วทําประทักษิณครบตติยวาร ๓ รอบประกอบด้วยปีติชื่นบาน พระองค์ทั้ง ๕ จึงขอประทานพรต่อพระมารดา และว่าได้ปรารถนาพระพุทธภูมิในเบื้องหน้า ถ้าไม่สําเร็จในพระสัพพัญญู ขอให้ได้มาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า รวมภัทธกัลป์อันเดียวกัน ในอนาคตกาลโน้นเทอญ

ในกาลครั้งนั้นท้าวพกามหาพรหมผู้มารดา จึงกล่าวสุนทรวาจาด้วยความอ่อนหวาน ประทานพรแก่บุตรทั้ง ๕ พระองค์ ว่าให้สําเร็จพระพุทธภูมิตามความปรารถนาเทอญ กล่าวแล้วดังนั้นก็นฤมิตรประทีปตีนกาให้พระองค์ละคู่ เพื่อเป็นเครื่องสักการบูชาของพระองค์ ท้าวพกามหาพรหมให้ประทีปตีนกาแด่พระองค์ทั้ง ๕ แล้ว ก็กลับกลายหายไปสู่ชั้นพรหมสุทธาวาส ตามเดิม

เมื่อนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าทั้ง ๕ พระองค์ จึงปรึกษาเห็นพร้อมกันว่า ที่นี้ก็เป็นที่อันประเสริฐแห่งหนึ่ง เพราะได้มาพบมารดาเกิดของเราสมความปรารถนา พระมารดาก็ได้ประทานพรและประทีปในที่นี้ไม่ควรลืมบุญคุณไม้นิโครธต้นนี้ พระโพธิสัตว์เจ้าทั้ง ๕ พระองค์จึงสัญญาตกลงกันไว้ว่า เมื่อผู้ใดสําเร็จพระสร้อยสัพพัญญูตามความปรารถนา ให้นําบริขารหรือธาตุสิ่งใด สิ่งหนึ่ง มาประดิษฐานบูชาไว้เป็นเครื่องหมายที่ดอยสิงคุตระนี้เทอญ เมื่อกระทําปฏิญาณสัญญากันแล้ว ต่างองค์ก็เที่ยวไปในที่ต่างๆ กระทําเพียรสร้างสมอบรมพระบารมีตามอุปนิสสัยสู้ทน เวียนว่ายไปมาหลายชาติ ก็มีในกาลบัดนั้นแล เมื่อมาถึงภัทธกัลป์นี้

ปฐโม กุกุสนฺโธ พระโพธิสัตว์เจ้าองค์ที่ ๑ ที่เป็นวิปัจจิตัญญูโพธิสัตว์ ท่านสร้างสม อบรมพระบารมีมาได้ ๘ อสงไขยแสนมหากัลป์ เรียกว่าศรัทธาธิกยิ่งด้วยศรัทธา ได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูในต้นภัทธกัลป์นี้ก่อน พระองค์ก็ได้เสด็จโปรดสัตว์โลกให้พ้นจากวัฏฏสงสาร ตาม ประเพณีพระพุทธภูมิแล้วพระองค์เสด็จไปประดิษฐานรอยพระพุทธบาทเบื้องขวาไว้ที่เกาะไก่ พระยาสุวรรณนาคเสก็ดเป็นทองคํา นําหินศิลามาถวายรองรับรอยพระบาทตามสัญญาที่ต้นไม้ชัยพฤกษ์ ๆ ก็อันตรธานหายไป แล้วพระองค์ก็เสด็จไปสถาปนาไม้ทัณฑะ (ไม้เท้า) เครื่องบริขาร ไว้ที่ดอยสิงคุตระเป็นเครื่องหมาย ต้นไม้นิโครธนั้นก็อันตรธานหายไป พระองค์ก็เสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานในกาลนั้นแล พระชนม์ ๖๐,๐๐๐ ปี พระพรรษา ๖๐,๐๐๐ ปี

ทุติโย โกนาคมโน พระโพธิสัตว์เจ้าองค์ที่ ๒ ที่เป็นพระวิปัจจิตัญญูโพธิสัตว์ได้สร้างสมอบรมพระบารมีมาได้ ๘ อสงไขแสนมหากัลป์ เรียกว่าศรัทธาธิกยิ่งด้วยศรัทธาได้มาตรัสพระสัพพัญญในภัทรกัลปนี้ พระองค์เสด็จโปรดสัตว์โลกให้พ้นจากวัฏฏสงสารตามประเพณีพระพุทธภูมิ แล้วพระองค์เสด็จไปประดิษฐานรอยพระพุทธบาทเบื้องขวาไว้ที่เกาะไก่ พระยาสุวรรณนาคเสก็ดเป็นทองคํานําหินศิลาผุดขึ้นมาจากพื้นพระสุทธา มารองรับรอยพระพุทธบาท แล้วพระองค์เสด็จไปประดิษฐานธรรมการก เครื่องบริขารไว้ที่ดอยสิงคุตระเป็นเครื่องหมายตามสัญญา พระองค์ก็เสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน ก็มีในกาลนั้นแล พระชนม์ ๔๐,๐๐๐ ปี พระสาสนา ๔๐,๐๐๐ ปี

ตติโย กัสสโป พระโพธิสัตว์เจ้าองค์ที่ ๓ ที่เป็นวิปัจจิตัญญูโพธิสัตว์ ได้สร้างสมอบรมพระบารมีมาได้ ๘ อสงไขย แสนมหากัลป์เรียกว่า ศรัทธาธิกยิ่งด้วยศรัทธาได้มาตรัสพระสัพพัญญู ในภัทธกัลป์นี้ พระองค์เสด็จโปรดสัตว์โลกให้พ้นจากวัฏฏสงสารตามประเพณีพระพุทธภูมิ แล้วพระองค์เสด็จไปประดิษฐานรอยพระพุทธบาทเบื้องขวาไว้ที่เกาะไก่ พระยาสุวรรณนาคเสก็ดเป็นทองคํา นําหินศิลาผุดขึ้นมารองรับรอยพระพุทธบาทไว้ แล้วพระองค์เสด็จไปประดิษฐาน สถาปนาผ้าอุตราสงฆ์จีวรเครื่องบริขาร ไว้ที่ดอยสิงคุตระตามสัญญา แล้วพระองค์ก็เสด็จเข้าสู่พระปรินิพพาน ก็มีในกาลนั้นแล พระชนม์ ๒๐,๐๐๐ ปี พระสาสนา ๒๐,๐๐๐ ปี

จตุโถ โคตโม พระโพธิสัตว์เจ้าองค์ที่ ๔ คือตถาคตในปัตยุบันนี้ ได้สร้างสมอบรมพระบารมีมาได้ ๔ อสงไขย แสนมหากัลป์ นับด้วยความแก่กล้าชื่อว่า อุคคติตัญญูโพธิสัตว์ เรียกว่า ปัญญาธิกยิ่งด้วยปัญญา ได้มาตรัสพระสัพพัญญูในภัทรกัลป์นี้ เที่ยวโปรดสัตว์โลกตามประเพณีพระพุทธภูมิ แล้วจะได้เสด็จไปสถาปนารอยพระพุทธบาทเบื้องขวาของเราตถาคตไว้ที่เกาะไก่ ยามนั้นพระยาสุวรรณนาคเสก็ดเป็นทองคํา จะได้นําหินศิลาผุดขึ้นมาจากพื้นพระสุทธาดล ที่รวมชุมรอยพระพุทธบาทพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ ที่ล่วงเข้าสู่พระปรินิพพานแล้วนั้นมารองรับรอย พระบาทของเราตถาคตไว้ตามสัญญา เราตถาคตก็ได้ให้ ตปุสส พัลลิก สองพี่น้อง ซึ่งแรกรับเป็นอุบาสกสรณาคม นําเอาพระเกศาธาตุของเรา ๘ เส้นไปประดิษฐานไว้เป็นเครื่องหมาย เมื่อสิ้นพระสาสนาของเราตถาคตครบ ๕,๐๐๐ พระพรรษาแล้ว ปัญจโม อริยเมตไตรโย พระโพธิสัตว์เจ้าองค์ที่ ๕ พระองค์ได้สร้างสมอบรมพระบารมีมาได้ ๑๖ อสงไขแสนมหากัลป์ เรียกว่าวิริยธิกตัญญู โพธิสัตว์ยิ่งด้วยความเพียร จะได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูในภัทธกัลป์นี้ พระองค์ก็จะได้ สถาปนารอยพระพุทธบาทเบื้องขวาของพระองค์ไว้ที่เกาะไก่ตามสัญญาอย่างพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ที่ล่วงเข้าสู่พระปรินิพพานแล้ว พระชนมายุพระพุทธโคดมได้ ๘๐ ปี พระสาสนา ๕,๐๐๐ ปี เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้

พระพุทธโคดมบรมครูเจ้าของเรา ทรงเทศนาให้พระมหาอานนท์เถรเจ้ากับพระภิกษุ สงฆ์ ๕๐๐ รูปฟังในเมื่อทูลถามที่พระวิหาร พระเชตุวนาราม ก็จบลงเพียงนี้

ในครั้งหนึ่ง องค์สมเด็จพระพุทธโคดมบรมครูเจ้าของเรา พระองค์ พร้อมด้วยพระสาวก อรหันตขิณาสพ ๑,๕๐๐ เป็นบริวาร มีพระมหากัสสปเถรเจ้าเป็นประธาน เสด็จไปบิณฑบาตร์ที่ เมืองโคตรบูรณ พระยาศรีโคตรบูรณถวายภัตตาหารแล้ว พระองค์เสด็จไปฉันที่ภูกําพร้า พระพุทธองค์จึงพิจารณาตามพระพุทธประเพณี แล้วจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ที่นี้เป็นที่บรรจุพระธาตุหัวอกพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ที่ล่วงเข้าสู่พระปรินิพพานแล้ว เมื่อเราตถาคตเสด็จดับขันธ์เข้า สู่พระปรินิพพาน พระมหากัสสปเถรเจ้า จะได้นําธาตุหัวอกของเราตถาคตมาสถาปนาไว้ในที่นี้ ตามพุทธประเพณี และยังมีอีกแห่งหนึ่งที่ภูน้ำลอดเชิงชุม พระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ได้เสด็จไป ประชุมรอยพระพุทธบาทไว้ตามสัญญาเป็นเครื่องหมาย พระมหากัสสปเถรเจ้ารับพระพุทธฎีกา แล้วพระองค์ทําภัตตากิจบริบูรณ์แล้ว พระองค์พร้อมด้วยพระสาวกอรหันต์ ๑,๕๐๐ เสด็จไปยังภูน้ำลอดเชิงชุม ขณะนั้นพระยาสุวรรณพิงคละเจ้าเมืองหนองหารหลวง พาบริวารไปรับเสด็จพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทําปาฏิหาริย์ให้พระยาพิงคละและบริวารเห็นเป็นอัศจรรย์ คือแสดงให้มหารัตนมณี ๓ ดวงเสด็จออกจากพระโอษฐ์ตามกันออกมาแล้วหายไป แล้วมีมหารัตนมณี ๑ ดวงเสด็จออกมาจากพระโอษฐ์อีก มีรัศมีรุ่งโรจน์โชติชัชวาลทั่วทั้งอากาสนภาดล คนทั้งหลายเห็นขนพองสยองเกล้า พระยาสุวรรณพิงคละจึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าถามปัญหาในข้ออัศจรรย์ พระพุทธองค์จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสพระสัทธรรมเทศนา ในข้อปัญหาว่า ที่นี้เป็นที่อันประเสริฐหนึ่ง แห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายซึ่งได้ตรัสสัพพัญญูเป็นพระพุทธเจ้าในภัทธกัลป์นี้ทุกพระองค์ เมื่อจวนจะเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพาน ได้มาประชุมรอยพระพุทธบาทไว้ในที่นี้ รัตน ๓ ดวงก็คือ ดวงที่ ๑ พระเจ้ากุกุสันโธ ดวงที่ ๒ ก็คือพระเจ้าโกนาคม ในดวงที่ ๓ ก็คือ พระเจ้ากัสสโป ดวงที่ ๔ ซึ่งเสด็จออกมาทีหลัง ก็คือองค์สัมมาสัมพุทธโคดมนี้แล เมื่อหมดพระสาสนา พระตถาคตครบ ๕,๐๐๐ พรรษาแล้ว ยังจะมีพระศรีอริยเมตไตรย์เจ้าองค์หนึ่งได้ตรัสสัพพัญญู เป็นพระพุทธเจ้าในพุทธกัลป์นี้ พระองค์ก็จะเสด็จมาประชุมรอยพระพุทธบาทไว้ในที่นี้อีก จึงจะหมดภัทธกัลป์

พระธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
พระธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร

ขณะนั้นพระยาสุวรรณนาคเสก็ดเป็นทองคําผู้รักษารอยพระพุทธบาท นําหินศิลาผุดลอดขึ้นมาจากพื้นพระสุธาดลพิภพ ตั้งฉะเพาะพระภักตร์พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย พระองค์จึงชี้เหตุผลให้พระยาสุวรรณพิงคละเห็นว่า นี่รอยพระพุทธบาทพระเจ้ากุกุสันโธ นี่รอย พระพุทธบาทโกนาคมโน นี่รอยพระพุทธบาทพระเจ้ากัสสโปและพระองค์ทรงแสดงพระสัทธรรมเทศนา เรื่องราวนิทานกาเผือกที่ได้มาประชุมพระโพธิสัตว์ปรารถนาพระพุทธภูมิที่เกาะไก่นี้ เมื่อจบพระสัทธรรมเทศนาแล้ว พระองค์ทรงเหยียบรอยพระพุทธบาทเบื้องขวาของพระองค์ทับซ้อน ลงไว้ที่แผ่นศิลานั้น เมื่อนั้นพระยาสุวรรณพิงคละได้เสด็จฟังพระสัทธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ ก็มีความยินดีปรีดาปราโมทย์ในพระสัทธรรมเทศนา เพราะบ้านเมืองของตนได้อยู่ในสถานที่อันประเสริฐ พระยาสุวรรณพิงคละชักพระขรรค์จะตัดศีรษะของตนออกบูชารอยพระพุทธบาท ฝ่ายนางนารายเจงเวงราชเทวีเห็นพระองค์ทรงพระปัญญาวิปลาศดังนั้น จึงเข้ากุมแย่งพระขรรค์จากพระกรพระองค์ไว้ได้แล้วทูลว่าเมื่อพระองค์ทรงชีพอยู่ยืนนาน ก็จะได้ก่อสร้างพระสถูปเจดีย์ บํารุงรักษารอยพระพุทธบาท สืบพระพุทธสาสนาต่อไป พระยาสุวรรณพิงคละได้ทรงฟังพระนางนารายเจงเวงราชเทวีทูลตักเตือนดังนั้น ก็มีพระสติระลึกได้ ทรงเลื่อมใสในรอยพระพุทธบาท พระยาสุวรรณพิงคละก็ถอดกระโจมหัวคํามงกุฏกษัตริย์อันมีค่าแสนตําลึงทองสรวมลงในรอย พระพุทธบาทเป็นเครื่องบูชาแล้ว พระยาสุวรรณนาคเสก็ดเป็นทองคํา ก็นําหินศิลาอันบรรจุรอย พระพุทธบาทพระพุทธเจ้าจมลงไปสู่พื้นพสุธา พระยาสุวรรณพิงคละจึงขออนุญาตก่อพระสถูปเจดีย์สรวมที่หินรอยพระพุทธบาทจมลงไปในนั้นไว้เป็นเครื่องหมาย พระพุทธองค์ทรงอนุญาต แล้วพระยาสุวรรณพิงคละก็อาราธนาพระพุทธองค์กับพระอรหันต์ขีณาสพ ๑,๕๐๐ องค์ไปรับจังหินบิณฑบาตร์ที่พระราชวังของพระยาสุวรรณพิงคละ พระพุทธองค์พร้อมด้วยพระอรหันต์ ๑,๕๐๐ กระทําภัตตกิจเสร็จแล้ว ก็กระทําภัตตานุโมทนา ซึ่งทานแห่งพระยาสุวรรณพิงคละ เสร็จแล้วพระองค์ พร้อมด้วยพระอรหันต์ ๑,๕๐๐ เสด็จไปบรรทมที่ดอยคูหาพระแท่นศิลาอาสน์ แล้วเสด็จไปยังเมืองกุสินาราย ก็มีในกาลนั้นแล

ฝ่ายพระยาสุวรรณพิงคละและนางนารายเจงเวงราชเทวี พร้อมด้วยบริวารไพร่พลสร้าง อูปมุงสรวมที่หินศิลารวมชุมรอยพระพุทธบาทจมลงไปนั้นแล้วด้วยหินศิลาก่อเป็นเจดีย์ พระยาสุวรรณพิงคละจึงให้นามว่าพระเจดีย์ธาตุปาทโรมชุม พระคันถรจนาจารย์เจ้าจึงผูกประพันธ์ พระคาถาไว้ว่า จตุภควา พุทธปาทเจติยํ ปัญจปาทวรํฐานํอหํวนฺทามิ อธิบายคําในพระคาถาว่า บุคคลผู้ใดจะนมัสการบูชาพระเจดียสถานอันนี้ ให้กล่าวคําตามพระคาถานั้นแล้ว จึงระลึกถึงพระนามและพระคุณของพระพุทธเจ้าว่า กุกุสันโธ โกนาคมโน กัสสโป โคตโม อริยเมตไตรโย ดังนี้ ๓ หน แล้วจึงกราบลง ปรารภอย่างใดแล้วแต่ความประสงค์เทอญ

ครั้นเมื่อเดือน ๖ เพ็ญ วันพุธ ปีชวด พระยาสุวรรณพิงคละได้ข่าวว่าพระบรมคยะมุณีศรีสรรค์เพ็ชร์ พระพุทธเจ้าของเราเสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานแล้ว วันหนึ่งพระมหากัสสปเถรเจ้ากับพระอรหันต์ ๕๐๐ พระองค์ นําเอาอุรังคธาตุพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานไว้ที่ภูกําพร้า พระยาสุวรรณพิงคละจึงประชุมเสนาอํามาตย์ราษฎรทั้งหลาย ด้วยความคิดถึงบุญญาพระบารมี พระสัมมาสัมพุทโธเจ้า ควรเราทั้งหลายสร้างอูปมุงคอยอุรังคธาตุ ไว้สถาปนาเป็นเครื่องสักการบูชา สืบพระพุทธสาสนาต่อไป เสนาอํามาตย์ราษฎรทั้งหลายชายหญิง มีความชื่นชมยินดี แต่ความศรัทธาแตกเป็น ๒ พวก พวกชายพอใจที่จะก่ออูปมุงไว้ที่ดอยคูหา ซึ่งเป็นพระแท่นบรรลังค์ พระพุทธองค์เคยเสด็จมาบรรทมที่นี้ พระยาสุวรรณพิงคละก็เห็นชอบด้วย พวกผู้หญิงนางนารายเจงเวงเป็นประธานพอใจจะสร้างอูปมุงไว้ที่สวนราชอุทยานเจงเวง และจะก่อสะพานด้วยหินแร่ตามถนน ออกจากเมืองไปให้ถึงราชอุทยานเจงเวงเพื่อให้สดวกแก่การไปมานมัสการบูชาพระธาตุได้ทุกฤดูกาล พระยาสุวรรณพิงคละก็อนุญาตให้ตามความประสงค์ของพระนางเจ้า ฝ่ายผู้หญิงผู้ชายต่างก็มีความโสมนัสยินดีเจรจาแข่งขันกันว่า เมื่อรวบรวมหินลายหินอ่อนอิฐปูนพร้อม แล้วจะลงมือก่อเวลาใดให้นัดสัญญากันไว้เสียก่อน คือให้เสร็จภายในวันกับคืนหนึ่งเป็นอย่างช้า ถ้าฝ่ายใดก่อแล้วภายในดาวเพ็กขึ้นพ้นเขายุคันทร ให้ถือว่าฝ่ายนั้นชนะ เมื่อนัดสัญญาณกันแล้ว ต่างฝ่ายก็ลงมือก่ออูปมุงตามประสงค์ ครั้นเวลากลางคืนผู้ชายพวกหนุ่มๆ ก็ลักลอบไปช่วยฝ่าย หญิงเป็นอันมาก เพราะยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง อุปมุงของผู้หญิงก็สําเร็จก่อน ทั้งประกอบด้วยฝ่าย หญิงมีไหวพริบเอาโคมไฟผูกใส่ปลายไม้แล้วเอาขึ้นมัดไว้ที่บนต้นไม้สูงๆ แสงโคมก็สว่างกระจ่างแจ้ง ดังแสงดาวกํามพรึก ฝ่ายพวกผู้ชายที่ก่ออูปมุงอยู่ดอยคูหา เห็นแสงโคมของฝ่ายหญิงที่เอา ขึ้นแขวนไว้บนยอดไม้นั้น ก็สําคัญว่าเป็นดาวเพ็กขึ้นแล้ว ก็พร้อมกันหยุดการก่ออูปมุง การก่อได้แต่เพียงชื่อเท่านั้น พอรุ่งขึ้นพระมหากัสสปเถรเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์เจ้า ๕๐๐ องค์เป็น บริวารเชิญอุรังคธาตุพระพุทธเจ้ามาถึงดอยคูหา พระยาสุวรรณพิงคละพร้อมด้วยราชเทวี ขอแบ่งอุรังคธาตุพระพุทธเจ้า จะสถาปนาไว้ที่อูปมุงดอยคูหาและที่อูปมุงอุทธยานนารายเจงเวง เพื่อเป็นที่บูชาเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระมหากัสสปเถรเจ้า จึงกล่าวสุนทรวาจาว่า ดูก่อน บพิตร ที่นี้ไม่ใช่ภูกําพร้าจะแบ่งอุรังคธาตุไว้ในที่นี้ ก็จะผิดจากคําพระพุทธเจ้า วจนซึ่งทรงสั่งเราไว้แลจะไม่เป็นมงคลมังคละอันประเสริฐแด่บพิตร พระมหากัสสปเถรเจ้ากล่าวสุนทรวาจาดังนั้น แล้วจึงให้พระอรหันต์เจ้ากลับเหาะไปเอาพระอังคารถ่านไฟพระพุทธเจ้ามาบรรจุไว้ที่อุปมุงดอย คูหาและอุปมุงนารายเจงเวง พอเป็นที่บูชาเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระมหากัสสปเถรเจ้าให้นามธูปมุงดอยคูหาว่า ธาตุภูเพ็ก เหตุว่าพวกผู้ชายหลงว่าโคมไฟพวกผู้หญิงเป็นดาวเพ็ก จึงก่ออูปมุงไม่แล้วให้นามอูปมุงนารายเจงเวงว่า ธาตุนารายเจงเวง ตามนามพระนางนารายเจงเวงนั้นแล

เมื่อพระมหากัสสปเถรเจ้าจัดการสถาปนาธาตุภูเพ็กและธาตุนารายเจงเวงแล้ว จึงพร้อมพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ เชิญอุรังคธาตุพระพุทธเจ้าไปยังภูกําพร้า ซึ่งเป็นธาตุพนมที่จังหวัดนครพนมต่อมาในเวลานี้ พร้อมทั้งพระยาสุวรรณพิงคละและท้าวพระยาทั้งหลาย

ในกาลยามเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานได้ ๘ ปีปลาย ๗ เดือน เดือน ๑๒ ขึ้นวันพุธ นักขัตตฤกษ์ ชื่อว่า กัตติกา วันนั้นพระมหากัสสปเถรเจ้าและพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์เป็นประธานกับบริวาร ซึ่งนําอุรังคธาตุพระพุทธเจ้ามาสู่ภูกําพร้าแล้ว จึงบรรจุไว้ใน เค้าไม้โพธิ์ไทรย์ก่อนแล้วพระยาสุวรรณพิงคละ พระยาคําแดง พระยาอินทรปัตถนคร พระยาจุลนีพรหมทัศ พระยานันทเสนมาแล้ว ก็พร้อมกันตกแต่งให้คนทั้งหลายไปเอาหินมาก่อไว้ แต่เมืองหนองหารหลวงอันบ่แล้วนั้น จึงก่ออูปมุงก่อใส่อุรังคธาตุพระพุทธเจ้าเทอญ บัดนี้พระมหา กัสสปเถรเจ้าและพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย จึงกล่าวว่าหินฝูงนั้น ได้ก่อไม่แล้วแต่ก่อนร้างละเสีย ไม่เป็นมงคละมงคล ปั้นดินอิฐที่นี้ก่ออูปมุงขึ้น แล้วจึงสุมไฟโน้นเทอญ ก็จักบริบูรณ์พระสาสนาภายหน้าโน้นซะแลพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย มีคําว่าดังนี้แล้วท้าวพระยาทั้ง ๕ ก็ตกแต่งคนทั้ง หลายปั้นดินอิฐดินอิฐนั้นเอาฝ่ามือพระมหากัสสปเถรเจ้าเป็นด้ามแบบปั้นดินอิฐแล้ว ก็ให้พระยาสุวรรณพิงคละแรกขุดขุมก่อน ถัดมาพระยาจุลนีพรหมทัศ พระยานันทเสน พระยาอินทปัตถนคร จึงขุดนําเสนาอํามาตย์และคนทั้งหลายก็ขุดทุกคน เอาลําดับกัน รากกกแรก เอาลึก ๒ ศอก พระมหากัสสปเถรเจ้ารองกว้างทั้ง ๔ ด้านเอา ๒ วา พระมหากัสสปเถรเจ้า ท้าวพระยาทั้งหลาย ก็แบ่งด้านกันก่อขึ้น และท้าวพระยาทั้งหลายฝูงนั้น ก็เอาข้าวของบรรจุหมดทุกพระยานั้นแล พระยาจุลนีพรหมทัศมีเงินแน่น ๑๕๐ แน่น หนัก ๔๐๐ มีคําแน่น ๕๕๐ แน่น แน่นหนึ่งหนัก ๓๐ บาท เอาฆ้อง ๙ กํา มี ๙ หน่วย หน่วยหนึ่ง ๑๗ กํา มี ๗ หน่วยรองใต้ใสก่อด้านตะวันออก พระยาอินทปัตถนครมีเงินแป ๔ ล้าน ๙ แสน ๙ หมื่น ๙ พัน ๙ ร้อย คําเปียกมี ๓ หมื่น ๓ พัน ๓ ร้อย ๓๐ อัน หล่อทองเป็นรูปเรือใส่ไว้ภายใต้ ก่อด้านใต้พระยาคําแดง มีโลนคําหน่วยหนึ่งหนัก ๖ หมื่น ใส่คําแน่นเต็มและพวงมาลัยหูกับกระโจมหัวแก้วมรกฏหน่วยหนึ่งหนัก ๗ หมื่น ใส่วัน ละฆังเต็มโถคําหน่วยหนึ่งหนัก แสนหนึ่งโอคํา ๙ หน่วย หน่วยหนึ่งหนัก ๒ พัน ขันเงิน ๙ หน่วยๆ หนึ่งหนัก ๓ พัน ขันนาค ๗ หน่วยๆ หนึ่งหนัก ๕ พัน รองใต้ท่ามกลางสูงหินแปงเป็นหีบใส่ไว้ ก่อด้านตะวันตกพระยานันทเสน มีขันคําหน่วยหนึ่งหนัก ๗ พันใส่แหวนคําเต็ม ขันเงินหน่วย หนึ่งหนัก ๙ พัน ใส่ปักปิ่นเก้าเต็ม โถเงินมี ๒ หน่วย หน่วยหนึ่ง ๙ พัน ใส่ม้าวเต็ม มีร้อยคู่ๆ หนึ่ง หนัก ๒ พันคํา เงิน ๙ หมื่นใส่ฆ้อง ๑๗ กํา มี ๗ หน่วย ๑๕ กํา มี ๕ หน่วย ๑๓ กํา มี ๓ หน่วย ไว้รองใต้ ก่อด้านเหนือพระยาสุวรรณพิงคละ มีกระโจมหัวคํา ๒ อันๆ หนึ่งหนัก ๓ หมื่น สังวาลคํา ๒ อันๆ หนึ่งหนัก ๓ แสน ถุงหมากหน่วยหนึ่งหนัก ๙ หมื่น ใส่แหวนและพวงมาลัยหูเต็ม ขันคําหน่วยหนึ่งหนัก ๗ หมื่นใส่วันระฆังเต็ม โถคําหน่วยหนึ่งหนัก ๑ แสน ขันคํา ๙ หน่วยๆ หนึ่ง หนัก ๒ พัน ขันเงินหน่วยหนึ่งหนัก ๓ พัน ขันนาค ๗ หน่วยๆ หนึ่งหนัก ๕ พัน รองใต้ไว้ท่ามกลาง ท้าวพระยาทั้ง ๔ ด้านก่อแล้ว พระมหากัสสปเถรเจ้าจึงเอาไหน้ำมาตั้งไว้ด้านละหน่วย เขียนคาถาให้เป็นมังคละโลกใส่ไว้ทุกหน่วย สูตราหูปริตรใส่น้ำแล้ว ท้าวพระยาทั้ง ๕ มีพระยาสุวรรณพิงคละเป็นเค้า ก็ตักเอาน้ำแต่ไหรดทั้ง ๔ ด้าน เวียนไปขวา ๓ รอบจึงปะไว้ พระยาจุลนีพรหมทัศจึงตักเอาแต่ในเบื้องตะวันออก รดลงจึงก่อขึ้น พระยาอินทปัตถนคร พระยาคําแดง พระยานันทเสน จึงกระทําดังเดียวและก่อด้านใต้ ตักเอาน้ำด้านนั้นใส่ก่อขึ้น ท้าวพระยาก็พร้อมกันก่อขึ้นดังเตา เป็นรูปอุปมุงขึ้น แต่พื้นดินเป็นเหลี่ยม ๔ ด้าน จึงวางไว้ แต่นั้นจึงให้พระยาสุวรรณพิงคละก่อขึ้นให้เป็นเรียงฝาบาระมี ทั้งยอดสุดให้ได้วาหนึ่งแห่งพระมหากัสสปเถรเจ้า วัดแต่เค้าขึ้นยอดสุดได้ ๒ วา พระมหากัสสปเถรเจ้า แล้วจึงก่อเต้าขึ้น ๔ ด้าน แล้วจึงเอาไม้จวง ไม้จันทร์ ไม้คําฟัก ไม้คันธรส ไม้ชมภู ไม้นิโครธ ไม้รัง มาเป็นฟื้นสุม ๓ วัน ๓ คืน สุกแล้วจึงเอาหินหมากคอมกลางป่า ที่เป็นมงคละมาถมขุม จึงเอาอุรังคธาตุพระพุทธเจ้าฐาปันนาไว้ในอูปมุงนั้นแล จึงให้ตันปิดประตูไว้ ยามนั้นอุรังคธาตุ จึงปักปอมผากําผละเสด็จออกมาอยู่ในฝ่ามือเบื้องขวาพระ มหากัสสปเถรเจ้านั้นแล พระอรหันตเจ้าทั้งหลายและท้าวพระยาเสนาอํามาตย์เห็นอัศจรรย์ดังนี้ ก็ชมชื่นยินดีนักให้เสียงซ้องสาธุการยามนั้นพระมหากัสสปเถรเจ้าคิดถึงวจนะพระองค์สั่งว่า ให้เอาอุรังคธาตุไปไว้ที่ภูกําพร้า องค์พระสัมมาสัมพุทโธเจ้าเท่านั้น เจ้าก็ตรัสรู้แจ้งแล้ว จึงกล่าวว่า ชรอยที่พระพุทธวจนะไสยาหลิงเห็น ยังจักมีบุคคลทั้งหลายอันเป็นเชื้อหน่อพระอรหันต์จักมีเมื่อสุดซอยนั้นแล ยังจักได้สืบพระศาสนาสร้างแปงฐาปนาไว้ซะแล บัดนี้เราทั้งหลาย ฝากฐาปนาตั้ง ไว้เทอญ จึงตามคําพระพุทธวจนะสันนั้นเทอญ ยามนั้นอุรังคธาตุจึงเสด็จเข้าไปสู่อูปมุงผ้ากําพละนั้นก็มายออกรับปกอยู่ดังเก่า พระยาจุลนีพรหมทัศ พระยาสุวรรณพิงคละ เห็นก็อัศจรรย์คิดถึงพระมหากัสสปเถรเจ้าได้ห้าม ก็ยินสดุ้งแก่ใจยิ่งนัก พระยาทั้ง ๕ จึงพร้อมกันแปงทําประตูไม้คู่ หับปิดไว้ด้วยขอกระดาน แล้วก็เอารี้พลไปเอาหินในเมืองโกสินนารายหน่วยหนึ่ง ฝังไว้แจ่งเหนือแปงทําเป็นรูปอัศวมุขี้ไว้กกหมายเมืองมังคละในชมภูทวีปไปเอาเมืองพาราณสีหน่วยหนึ่ง ฝังไว้แจ่งใต้ แปงทํารูปไว้กกหมายเมืองมังคละ ๒ หน่วย นี้กําตะวันออกไปเอาเมืองลังกาหน่วยหนึ่ง ฝังไว้ด้านตะวันตกเบื้องใต้ ไปเอาเมืองคัตตสิลานครหน่วยหนึ่ง ฝังไว้ด้านตะวันตกเบื้องเหนือ แปงทําเป็นรูปม้าอาชานัยไว้ หมายด้านเหนือว่า อุรังคธาตุพระพุทธเจ้าได้เสด็จออกมากระทําปาฏิหาริย์รุ่งเรือง กระทําพุทธวจนะทํานวยพระสาสนานะขะละนี้ ทาบอยู่ฝ่ายด้านเหนือ จึงเจือมาใต้ให้อาชานัยปีนหน้าม้า มาเหนือเพื่ออันสะแล วันหนึ่งพระยาสุวรรณพิงคละ หากได้สดับรับฟังเอาพระคาถาพระพุทธเจ้าเทศนา แจ้งในนิทานนี้ จึงให้ไว้เพื่อพระมหากัสสปเถรเจ้า จึงแปงทํารูปม้าพลาหกตัวหนึ่งหันหน้ามาเหนือ อยู่เรียงอาชานัย หมายว่าแม่นไช่พระยาศรีโคตบูรณ ตนจักได้ถาปันนาอุรังคธาตุ ค้ำพระพุทธศาสนาตราบเท่า ๕,๐๐๐ พรรษานั้นแล ถ้าฝ่ายใต้ขึ้น เมือเหนือแล้วจึงแบ่งปั้นเป็นดังม้าพลาหกตัวประเสริฐนี้ซะแล ดังนี้อาชานัยพลาหกนี้พระอรหันตเจ้าทั้ง ๕ ให้ปัญหาด้วยบุพเพนิวาสานุสสติญาณ จึงแบ่งไว้ในนิทานนี้ แล้วนักปราชญ์เจ้าทั้งหลาย ดูแล้วค่อยพิจารณาด้วยปัญญาตามนัยบรมมัตถธรรมนั้น เท่าวันเทอญ ยามนั้นพระมหากัสสปเถรเจ้า พาหมู่พระอรหันตเจ้า ๕๐๐ พระองค์ เวียนวัฏปทักษิณ แล้วท้าวพระยาทั้งหลายพร้อมกันอธิษฐาน เวนถวายเข้าของเงินทอง เครื่องบริโภคทั้งมวญ อันฐาปันนาไว้รองใต้ ด้วยคําว่าเข้าของฝูงนี้เป็นสันติภาพตราบต่อเท่า ๕,๐๐๐ พรรษาโน้นก็ข้าเทอญ พระยาสุวรรณพิงคละ พระยาคําแดงจึงพร้อมกันปรารถนา ขอให้ผู้ข้าได้มาบวชในพระสาสนาเป็นอรหันต อย่าให้เราพี่น้องพลัดพรากจากกันเทอญ พระยาจุลนีพรหมทัศ พระยาอิทปัตถนคร พระยานันทเสน ก็หวัวชมชื่นยินดีเยาะไยกันเล่าวิว่า เมื่อก่ออูปมุงพระยาเจ้าพี่น้องและข้าทั้งหลาย ก็ยังชวนกันแลบัดนี้ หากปรารถนาเอาดังนั้นก็ไม่ชักไม่ชวนข้าทั้งหลายนี้จา พระยาสุวรรณพิงคละจึงว่า มีคําปรารถนาต่างกัน ข้าทั้งสองจึงไม่ได้ชวนเพื่อนและโบราณกล่าวว่า ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ ครั้นว่าหากมักเดินทางด้วยก็เชิญปรารถนาเทอญ เจ้าพระยาทั้ง ๓ จึงว่าสาธุๆ ผู้ข้าได้ก่อด้านหนึ่ง ขอให้ผู้ข้าได้บวชในพระพุทธสาสนา เป็นอรหันตตนถ้วน ๕ เทอญ ยามนั้นพระอรหันตเจ้า ๕๐๐ องค์ มีพระมหากัสสปเถรเจ้าเป็นประธาน จึงพร้อมกันอวยพรว่า จงให้ได้สําเร็จความปรารถนามหาราชเจ้าทั้งปวงเทอญ ให้พรแล้วพระอรหันตเจ้า ๕๐๐ องค์จึงเสด็จไปทางอากาศ ไปสู่เมืองราชคฤห์ เพราะว่าจะสังคายนาธรรม ท้าวพระยาทั้งหลาย และน้องพระยากับราชบุตรชุมนุมกัน พระยานันทเสนจึงปฏิสันฐาน เชิญพระยาเกษาตนคร พระยากุลุนทนั้น ท่านไม่ได้มาก่ออูปมุงด้วย เราทั้งหลายสันนี้จา พระยาคําแดงจึงกล่าวว่า พระอรหันตเจ้าไม่ได้เอาอุรังคธาตุ พระพุทธเจ้ามาทางโน้น ได้เอามาทางเมืองหนองหารหลวง ผู้ข้ารู้ข่าวพระอรหันตเจ้าไปบิณฑบาตรน้ำในเมืองหนองหารน้อย ผู้ข้าจะลัดมาก็กลัวไม่ทัน พระยาสุวรรณพิงคละ พระยาจุลนีพรหมทัศอยู่ฟากแม่น้ำโขง พระยาอินทปัตถนครอยู่ไกล ก็รู้ข่าวได้มาทันพระอรหันตเจ้าทั้งหลาย ได้ก่ออูปมุง บุคคลทั้งหลายเกิดมาในโลกนี้ ได้บําเพ็ญบุญสมพารกัตตาธิการ แต่ชาติก่อนมากนัก จึงได้มาพบปะอันประเสริฐยิ่งกว่าประเสริฐทั้งหลาย และพระยาพิงคละจึงกล่าวว่า เมื่อพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานวันนั้น ก็มาทํานวยรอยพระบาทไว้ที่เกาะไก่ริมหนองหารหลวง ทรงเทศนาไว้แก่ผู้ข้าว่า กิจฺโฉ มนุสฺส ปฏิลาโภ กิจจํ มจฺจานชีวิตํ กิจฉํสทฺ ธมฺมสฺสวนํ กิจโฉ พุทฺธา นมุปฺ ปาโท ดังนี้ และอธิบายให้แจ้ง บุคคลทั้งในวัฏฏสงสารนี้ จะให้ได้เกิดมาเป็นคนก็ยาก อนึ่งจะได้ฟังธรรมและรู้ธรรมก็ยาก อนึ่งจะให้ได้พบปะพระพุทธบาทสาสนาก็ยาก อนึ่งเหตุว่าอุปนิสสัยแต่หลังไม่มี และบัดนี้เราทั้งหลายได้มาจวบมาพบพระอรหันตเจ้าทั้งหลาย ๕๐๐ พระองค์ และได้ก่ออูปมุงอุรังคธาตุพระพุทธเจ้าดังนี้ พวกเราพี่น้องก็จะดับ ทุกข์ในวัฏฏสงสาร ถึงพระปรินิพพานเบื้องหน้าไม่สงสัยเลย พระยาจุลนีพรหมทัศ พระยาอินทปัตถนคร พระยานันทเสน พระยาคําแดง ได้ฟังพระคาถาอันพระยาสุวรรณพิงคละ กล่าววิสัชนา ก็มีใจชื่นชมบานเหมือนบุคคลมารดด้วยน้ำทิพย์อันไม่รู้ตายนั้นแล พระยาจุลนีพรหมทัศ มีทองคํา ๕๐๐ แผ่น หนัก ๓๐๐ พระยาอินทปัตถนคร มีเงินแป ๓ แสน พระยานันทเสนมีขันทองคํา ๓ หน่วยๆ หนึ่งหนัก ๓ หมื่น พระยาคําแดงมีเงินด้วง ๓ แสน คือ เงินตรา ท้าวพระยาทั้ง ๕ ก็บูชาพระยาสุวรรณพิงคละด้วยพระคาถาอันนี้และพระยาและบทพระคาถา พระยาสุวรรณพิงคละก็จูงแขน พระยาคําแดง พระยาจุลนีพรหมทัศ พระยาอินทปัตถนคร จูงแขนพระยานันทเสนเข้าไปในเมืองพระยาทั้ง ๕ ทุกคนแล้ว ก็ลาสั่งลากันไปจากภูกําพร้ากลับไปสู่บ้านเมืองแห่งตนทุกคนแล กล่าวพระอรหันตเจ้า ๕๐๐ องค์มีพระมหากัสสปเถรเจ้าเป็นประธานกับพระยาทั้ง ๕ ก่ออูปมุงไว้อุรังคธาตุที่ภูกําพร้า ก็สําเร็จเท่านี้แล

ครั้งนั้น พระยาอินทร์มีหมู่เทวดามากนักลงมาสู่ภูกําพร้าจากดาวดึงสวรรค์เวลาหัวค่ำ พระยาอินทร์จึงสั่งวิสุกรรมเทวบุตร์เขียนรจนาลายดอก ลายเครือรูปเทวบุตร์เทวดา รูปพระยาอินตราเทวราช พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระยาทั้ง ๕ ไว้ในอูปมุงทั้ง ๔ ด้าน ภายนอกให้แต้ม เขียนพระอรหันต ๕๐๐ องค์ และรูปพระยาศรีสุทโธทนะมหามายา วิสาขา เทวบุตร์ ไว้ภายในแล้วจึงสักการบูชาด้วยดอกไม้คันธรสของหอมตุริยศ ดนตรีเครื่องเสพทั้งมวญ แล้วจึงให้นาง เทวบุตร์ทั้งหลาย มีนางสุชาดาเป็นเค้าแต่งเครื่องอุปัฏฐาก มีขันแก้ว ๔ ใบ เครื่องแก้วแล้วด้วยทองคําทั้งมวญ ดอกบัว ดอกลิลวงทิพย์ไม่เหี่ยวแห้ง ประทีป ๔ ดวงไม่รู้ดับตราบเท่า ๕,๐๐๐ พรรษา พระยาอินทร์และนางฟ้าทั้ง ๔ เอาเข้าไปบูชาไว้ในอุปมุง ยกใส่ศีรษะแล้วจึงออกมาสั่งวิสกรรมเทวบุตร์ให้จัดหาเทวบุตร์ เทวดาทั้งหลาย อันจะรักษายังอุรังคธาตุพระพุทธเจ้า วิสกรรมเทวบุตร์จึงแต่งให้เทวบุตร์ ๖ ตนๆ หนึ่งชื่อว่า วิจิตรเลขา อยู่รักษาภายบนมีวิมาน ปราสาทตั้งอยู่อากาศ มีบริวาร ๑,๐๐๐ องค์หนึ่งชื่อว่า วรรณกุมภา อยู่รักษาด้านเหนือ มีบริวาร ๑,๐๐๐ องค์ หนึ่งชื่อว่า สารุธกา อยู่รักษาด้านตะวันออกมีบริวาร ๕๐๐ องค์ หนึ่งชื่อว่า ภุมิปฏิรุกขา อยู่รักษาด้านใต้ มีบริวาร ๕๐๐ องค์ หนึ่งชื่อว่า โพธิปัตตรุกขา อยู่รักษาด้านตะวันตก มีบริวาร ๕๐๐ องค์ หนึ่งชื่อว่า สุนทรธรณี อยู่รักษาของพระยาทั้ง ๕ บูชาอุรังคธาตุอยู่ภายใต้ มีบริวาร ๕๐๐ ถัดนั้นยังมีเทพดามเหศักดิ์ ๓ องค์ มีเดชานุภาพมากนักอยู่รักษาอุรังคธาตุ อยู่ริมบึงข้างเหนือตะวันออก ๒ องค์ๆ หนึ่งชื่อว่า ทักษ์ขิณรัฐา คือว่า เจ้าเมืองขวา องค์หนึ่งชื่อว่า สุตะสหัสสรัฐา คือว่า เจ้าแสนเมือง องค์หนึ่งชื่อว่า นาคกุฏวิถาร คือ เจ้าโต่งกว้าง อยู่ทิศตะวันออก ปากน้ำเซตกทิศใต้ และมเหศักดิ์ ๓ องค์นี้เป็นหูบ้านตาเมืองอยู่รักษาอุรังคธาตุสาสนาบ้านเมือง ภิกษุสงฆ์ข้าโอกาศทั้งหลายและบุคคลผู้ใด คือว่า นักบวชและคนคฤหัสถ์เป็นผู้ได้กระทําบุญ รักษาศิล เมตตา ภาวนา อันให้ทานอันใดอันหนึ่ง ให้ตรวดน้ำอุทิศไป ถึงเทพดา ๖ องค์ และ มเหศักดิ์ ๓ องค์ เอาอุรังคธาตุเป็นที่พึ่ง และปรารถนาเอาอันใดก็ดี เทพดามเหศักดิ์ทั้งหลาย หากค้ำชูให้วุฒิจําเริญด้วยสมบัติเข้าของมีอายุยืนแก่บุคคลผู้ปรารถนานั้นแล

องค์พระธาตุเชิงชุมและองค์พระธาตุพนมเกี่ยวเนื่องกันมาแต่ปฐมบรมกัลป์ ก็มีด้วยประการฉะนี้ แลบทประพันธ์พระคาถา นมัสการพระธาตุพนมมีดังนี้

ปุริมาย ทิสาย กปฺปณฺ คิริสมี ปพฺพเต มหากสฺสเป ฐปิตํ พุทฺธอุรํคธา ตํ สิริสา นมามิ นโมธาตุ หทยํ อหํสามิ ฯ

สาธุ นิจจํ อุรงฺค นิพพานปจฺจโย โหตุ

ที่มา :จากหนังสือ “ตํานานพระธาตุเชิงชุม” ฉบับพิมพ์ครั้งแรก พุทธศักราช ๒๔๘๐

ตํานานพระธาตุเชิงชุม ของขุนถิระมัยสิทธิการ (กู่แก้ว พรหมสาขา ณ สกลนคร)