ปาฏิหาริย์ หลวงปู่สมเด็จลุน นครจำปาสัก สปป.ลาว

เรื่องราวของหลวงปู่สําเร็จลุน พอจะประมาณเล่าไว้เป็นอนุสรณ์ได้ดังนี้
เรื่องหนึ่งคือ ในสมัยฝรั่งเศสใช้อํานาจด้วยความโลภตามสันดานของนักล่าเมืองขึ้น โดยคิดว่าชาติอื่น บ้านเมืองอื่น ด้อยอารยธรรมกว่าตน และมักอ้างว่าเข้ามาปกครองเพื่อ ขจัดความด้อยอารยธรรมให้แก่ชาติที่ตนเข้าไปล่าเอาเป็นเมืองขึ้น เป็นบุญคุณเสียอีก
การเข้ามาปกครองของฝรั่งเศสครั้งนั้น เป็นการแบ่งแยกเอาดินแดนไปจากอกของ ประเทศไทยโดยตรง ไม่ยอมก็ต้องยอม เพราะไทยในครั้ง ร.ศ. ๑๑๒ นั้น มีแต่หอกดาบมีดพร้า ไว้ทําศึกสงคราม แต่หามีปืนไฟเรือรบจะต่อกรกับเขาไม่ จําเป็นจําใจยอมให้ไปตามนโยบายรักษา ประโยชน์ส่วนใหญ่ไว้ โดยยอมเสียประโยชน์ส่วนน้อยไป
การเข้ามาปกครองราชอาณาจักรลาวในครั้งนั้นมี นาย ม.ปาวีร์ เป็นผู้สําเร็จราชการ มีอํานาจเต็ม
นาย ม.ปาวีร์ ได้ข่าวว่า เจ้าผู้ครองนครจําปาศักดิ์ คิดแข็งข้อ กระด้างกระเดื่อง จึงคุมกําลังมาหวังจะจับกุมเอาตัวไป
ตอนนั้น เจ้าผู้ครองนครจําปาศักดิ์ มีความเคารพสําเร็จลุน ว่ามีอํานาจอภินิหาร จึงขอให้ ม.ปาวีร์ อนุญาตให้หลวงปู่สําเร็จลุนเดินทางไปกับตนด้วย ซึ่ง ม.ปาวีร์ก็ยินยอม
เมื่อเจ้านครจําปาศักดิ์และหลวงปู่สําเร็จลุน ไปถึงท่าจอดเรือริมฝั่งโขงเป็นเรือขุด ลําใหญ่ บรรทุกคนได้หลายสิบ ม.ปาวีร์ให้เป็นเรือประจําตําแหน่งของตน ก่อนที่จะ ขึ้นเรือหลวงปู่สมเด็จลุนได้บอกว่า ให้ขึ้นเรือให้ดีเดี๋ยวเรือจะล่ม พอหลวงปู่สมเด็จลุนก้าวเหยียบแคมเรือเป็นก้าวแรก เรือก็เอียงวูบลง ม.ปาวีร์เห็นปาฏิหาริย์แล้วเกิดความหวั่นเกรงจะไปทําให้เรือล่มเสียกลางทาง จึงต้องยอมปล่อยกลับมาทั้งสองคน
บางคนเล่าว่า บางครั้งหลวงปู่เอาใบไม้หรือไม่ก็ฝาบาตรวางบนผิวน้ําเหยียบลอยข้ามฝั่งมา
บางครั้งยืนกลางลําเรือ ให้เรือข้ามฝั่งมาโดยไม่ต้องมีคนพาย
บางครั้งท่านเห็นชาวบ้าน เขาตําส้มมะละกอ หรือบักหุ่งกินกัน แต่ขาดมะนาว จะบอกกับชาวบ้านว่า ข้าจะไปเอามะนาวที่กรุงเทพฯ มาให้ ท่านเดินออกไปพักหนึ่ง กลับเอามะนาวมาให้ เป็นที่แปลกใจงงงันไปตามๆกัน

ครั้งหนึ่ง ท่านอุปสมบทมาหลายพรรษาแล้ว ถึงขั้นเป็นครูบาอาจารย์ ชาวบ้านเขาก็ มาปรึกษากับโยมมารดาท่าน จะทําพิธียกท่านขึ้นเป็นสมภาร
ท่านรู้เข้าก็ไม่ยอมให้ทําเพราะไม่อยากเป็น มันขัดกับความประสงค์ของท่าน ที่ ต้องการอยู่อย่างมักน้อยสันโดษ มีอิสระในการท่องเที่ยวปฏิบัติธรรมอย่างเดียว
คุณโยมมารดาก็ไม่ฟัง ต้องการให้ท่านเป็นสมภาร จึงร่วมมือกับหมู่บ้านเวินไซ จัด พิธีขึ้นจนได้
ท่านต้องเป็นสมภารด้วยความจําเป็นจําใจ โดยเหตุที่ขัดกับจิตใจของท่าน
นับแต่นั้นมา ท่านก็ประพฤติตัวให้ชาวบ้านหมดศรัทธาเลื่อมใส เพื่อจะหนีจากการ เป็นสมภาร
บ้านตึกขาว ท่านมาจากจําปาศักดิ์คราวใด ท่านชอบมาพักที่บ้านน้องชายท่านที่ตึกขาวเป็นประจํา หลายครั้งมีชาวเมืองอุบลฯ เขานิมนต์เนื่องด้วยการทําบุญต่างๆ ท่านก็มาพักที่ตึกขาวก่อนแล้วจึงเดินทางไปตามที่เขานิมนต์ไว้ ปรากฏให้หลานเหลนท่านเห็นหลายครั้ง
คือตัวท่านก็มีคนเห็นว่าไปนั่งสวดมนต์ในงาน แต่ที่บ้านตึกขาวก็เห็นท่านนั่งๆนอนๆ อยู่ไม่ได้ไปไหน เป็นเรื่องแปลกอยู่เหมือนกัน ที่ว่าเห็นท่านไปกับผู้มานิมนต์
อีกเรื่องหนึ่งเขาเล่าให้ฟัง ท่านล้างมือแต่ละครั้งต้องใช้น้ําถึง ๓ หาบใหญ่ ล้างอยู่ เช่นนั้นเป็นเวลานาน ปากก็ท่องมนต์ไปพึมพํา
การอาบน้ําเช่นกัน ต้องท่องมนต์ไปด้วย
เขาเล่าว่า เวลาที่ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ก็ตอนที่ท่านนั่งล้างมือ หรือลงอาบน้ําในแม่น้ํา โขงเป็นครึ่งค่อนวัน
รู้ภาษานก
บางครั้งที่ญาติโยมมานั่งคุยอยู่ใกล้ๆ มองเห็นนกมันจู๋จี๋กันบนกิ่งไม้ ท่านจะบอกว่า นกมันปรึกษากันว่าจะบินไปทางทิศไหน แล้วมันก็บินไปทางทิศนั้นจริง แสดงว่าท่านรู้ภาษาสัตว์ได้เป็นอย่างดี
รูปลักษณะของหลวงปู่สําเร็จลุน จากความทรงจําอันเลือนๆของ คุณครูวัน กอมณี ที่เคยเห็นหลวงปู่สมเด็จลุนเมื่อตอนที่ตนเองอายุ ๙ ขวบ ๑๐ ขวบกว่า
ท่านเป็นคนรูปร่างผอมสูง ท่านเคยให้ตะกรุดไว้ บัดนี้ก็หายไปหมดแล้ว
“สําเร็จ” คืออะไร
ขั้น “สําเร็จ” เป็นคําเรียกสูงสุดที่ชาวบ้านชาวเมืองเขายกย่องแต่งตั้งให้เป็นสําเร็จลุน ไม่ใช่สังฆราช ปกติจะต้องไต่เต้ามาตามลําดับเสียก่อน คือ ยาคู, ยาซา, ยาท่าน สําเร็จ แต่สําเร็จลุนได้ขั้นสูงสุด ชาวบ้านเขาเห็นสําเร็จลุนได้สําเร็จธรรม เขาจึงตั้งตําแหน่งนี้ให้ เพราะในเมืองลาวยังไม่มีองค์ใหนได้รับตําแหน่งนี้เลย มีแต่สําเร็จลุนองค์เดียวเท่านั้น สาม ตําแหน่งข้างบนองค์ที่ได้รับมีมาก เมื่อรวมชื่อตําแหน่งทั้ง ๔ อย่างแล้วก็คือ ผู้เป็น “สมภาร” วัดนั้นเอง
คําว่า “สําเร็จ” ไม่ใช่ยศทางการแต่งตั้ง แต่เป็นชาวบ้านชาวเมือง เขาเคารพนับถือ จึงแต่งตั้งเป็นประเพณีกันเอง เพื่อให้เป็นครูอาจารย์สอนลูกศิน เป็นเจ้าอาวาสสืบไป
ความเมตตาของท่าน ล้วนเป็นที่ซาบซึ้งอยู่ในจิตใจคนทั่วไป มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ในทั่วแดนจําปาศักดิ์ และบ้านเมืองใกล้เคียง
เพราะท่านเป็นผู้ทรงวิทยาคุณ และมีคําสอนเป็นที่ชื่นชอบยินดี จึงมีมหาชนมา ฟังธรรม และปฏิบัติธรรมกันมิได้ขาด
